พาชิม 8 1/2 Otto e Mezzo Bombana มิชลินสามดาวที่ฮ่องกง

ในฐานะของสถานที่ท่องเที่ยวซึ่งขึ้นชื่อด้านการกินในเอเชีย ฮ่องกงย่อมจะติดอยู่ในอันดับต้นๆ ส่วนหนึ่งด้วยวัฒนธรรมการกินของคนท้องถิ่นที่แทบจะกินได้ทุกเวลา อีกทั้งยังสรรหาแต่อาหารซึ่งอร่อยด้วย

ครั้งนี้ 2baht.com จะพาท่านผู้อ่านไปชิมร้านอาหาร 8 1/2 Otto e Mezzo Bombana ร้านอาหารอิตาลีที่ได้ดาวมิชลินถึง 3 ดาว ที่ตั้งอยู่ที่ฮ่องกง และเป็นร้านอาหารอิตาลีนอกประเทศอิตาลีเพียงร้านเดียวที่ได้มิชลิน 3 ดาวครับ

หมายเหตุ อาหารในรีวิวนี้อาจแตกต่างจากที่จำหน่ายทั่วไป เนื่องจากเป็นอาหารที่ทางร้านจัดมาให้พิเศษ เพราะไปทานเป็นหมู่คณะครับ

รู้จักกับดาวมิชลินโดยสังเขป

หลายคนเวลาได้ยินคำว่า “ดาวมิชลิน” อาจจะสงสัยว่าคืออะไร และเกี่ยวข้องกับผู้ผลิตยางรถยนต์ “มิชลิน” ของฝรั่งเศสหรือไม่ ซึ่งคำตอบก็คือเกี่ยวกันโดยตรงครับ ซึ่งจริงๆ ความเป็นมาค่อนข้างยาว แต่ที่นี้จะขอรวบสั้นๆ เพื่อให้เข้าใจโดยง่ายครับ

Michelin Guide เป็นคู่มือนำทางท่องเที่ยวและอาหารของบริษัทผลิตยางรถยนต์ Michelin ของฝรั่งเศส แต่เดิมทำขึ้นมาเพื่อแจกฟรีช่วงต้นศตวรรษที่ 20 เพื่อส่งเสริมการใช้รถ (และแน่นอนว่าต้องตามมาด้วยยางรถยนต์ตัวเองนั่นเอง) แต่ต่อมาก็ใช้ระบบคิดเงินสำหรับคู่มือฉบับนี้เพราะเจ้าของบริษัท ไปพบว่าคนที่ได้ไปก็ทิ้งๆ ขว้างๆ นั่นเอง

ตัวอย่างหน้าปก Michelin Guide 2015 (ภาพจากเว็บ Michelin)
ตัวอย่างหน้าปก Michelin Guide 2015 (ภาพจากเว็บ Michelin)

สาเหตุที่ Michelin Guide ได้รับความนิยม เพราะการตรวจสอบต่างๆ โดยเฉพาะร้านอาหารที่เข้มงวดมาก โดยคนตรวจสอบห้ามเปิดเผยตนเองกับใครทั้งสิ้น และแต่ละร้านจะโดนตรวจสอบซ้ำๆ จากผู้ตรวจสอบต่างคนกัน และร้านจะไม่รู้มาก่อนเลยว่าโดยตรวจสอบอยู่ และจะมีการให้ลำดับชั้นแตกต่างกันไป

ระดับของร้านอาหารใน Michelin Guide แบ่งคร่าวๆ ออกได้เป็น 4 ระดับใหญ่ๆ คือ

  • Recommend หรือแนะนำ ซึ่งร้านที่ติดกลุ่มนี้จะเป็นร้านอาหารที่อยู่ในระดับแนะนำใน Michelin Guide
  • 1 ดาว ซึ่งความหมายถึงร้านอาหารที่ดีมากๆ ในกลุ่ม (category) ของร้านประเภทนั้น
  • 2 ดาว ซึ่งหมายความว่าทำอาหารได้ดีมาก ควรที่จะไปลิ้มลอง
  • 3 ดาว ร้านอาหารที่ทำอาหารได้ยอดเยี่ยม สมควรไปลองอย่างยิ่ง

Michelin Guide แต่เดิมนั้นจำกัดเฉพาะในยุโรป จนกระทั่งเมื่อช่วงปี 2000 จึงขยายเข้าไปยังอเมริกา และในปี 2007 จึงเข้าไปที่ญี่ปุ่น และตามมาด้วยในปี 2008 ที่ขยายเข้าไปในฮ่องกงและมาเก๊า

ในประวัติศาสตร์ เคยมีร้านอาหารมิชลินที่ถูก “ลดดาว” มาแล้ว และถือว่าเป็นเรื่องที่รุนแรงอย่างมาก เพราะนอกจากหมายถึงลูกค้าที่น้อยลงกว่าเดิม (แม้แต่เชฟเจ้าพ่อมือฉมังอย่าง Gordon Ramsey ก็เคยถึงขั้นร้องไห้เพราะโดนลดดาวมาแล้ว) ยังรวมถึงชื่อเสียงตัวเองด้วย ซึ่งทำให้ Bernard Loiseau เชฟคนสำคัญของฝรั่งเศส ฆ่าตัวตายเมื่อปี 2003 เพราะมีรายงานข่าวว่า ร้านของเขาจะสูญเสียดาวมิชลินไป ซึ่งภายหลังรายงานข่าวนั้นก็ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด (อ้างอิง) แต่บางคนก็เลือกที่จะทิ้งดาวมิชลินไปเอง ตัวอย่างเช่น David Thompson (ร้านอาหารไทย Nahm) ที่ทุ่มเทให้กับร้านสาขาที่กรุงเทพ และเลือกที่จะปิดร้านดั้งเดิมที่กรุงลอนดอนแทน

เชฟดังๆ ที่มีชื่อเสียงและได้ดาวมิชลินมามากมาย เช่น Joel Robuchon, Alain Ducasse, Paul Bocuse, Alain Passard, Marco Pierre White, Gordon Ramsey, คู่พี่น้อง Jacques และ Laurent Pourcel เป็นต้น ส่วนเชฟที่น่าสนใจและถือเป็นสายรุ่นใหม่ที่น่าจับตาก็เช่น Philippe Bohrer และ Laurent Peugeot ครับ

รู้จักกับร้านอาหาร 8 1/2 Otto e Mezzo

ป้ายหน้าร้าน 8 1/2 Otto e Mezzo Bombana
ป้ายหน้าร้าน 8 1/2 Otto e Mezzo Bombana

ร้าน 8 1/2 Otto e Mezzo Bombana ก่อตั้งขึ้นโดยเชฟ Umberto Bombana ซึ่งเคยเป็นอดีตเชฟประจำห้องอาหารอิตาลี Toscana ของโรงแรม Ritz-Carlton ฮ่องกง ก่อนที่โรงแรมจะถูกทุบทิ้งในปี 2008 ทำให้ Umberto ต้องออกมาก่อตั้งห้องอาหารเอง โดยปัจจุบันตั้งอยู่ที่อาคาร Alexandra House ย่าน Central ของเกาะฮ่องกงครับ

สำหรับชื่อร้าน 8 1/2 ได้มาจากภาพยนตร์อิตาลีชื่อเดียวกัน โดยเป็นภาพยนตร์ตลกผสมดราม่าที่ฉายในปี 1963 กำกับบทภาพยนตร์โดย Federico Fellini ผู้กำกับภาพยนตร์ชื่อดังชาวอิตาลีที่มีชื่อเสียงก้องโลกนั่นเอง

ความพิเศษของร้าน 8 1/2 อยู่ที่เกียรติยศของร้าน เพราะเป็นร้านอาหารอิตาเลียนนอกประเทศอิตาลีร้านเดียวที่ได้มิชลิน 3 ดาว และในปี 2013 ยังครองตำแหน่งร้านอันดับที่ 39 ของ 100 ร้านอาหารที่ดีที่สุดของโลกด้วย (รายชื่อร้านอาหารทั้งหมดในฮ่องกงที่ได้ดาว Michelin Star)

ในปัจจุบัน 8 1/2 มีสาขาอยู่ที่เมืองเซี่ยงไฮ้ และเตรียมเปิดสาขาที่มาเก๊า แต่สาขาดั้งเดิมก็ยังคงเป็นที่ฮ่องกงครับ ซึ่งสำหรับคนที่อยากมาทาน แนะนำให้จองล่วงหน้า และตัวของ Umberto เอง ขึ้นชื่อในเรื่องของฝีมือในการใช้ “เห็ดทรัฟเฟิล” (truffle) โดยเฉพาะอย่างยิ่งทรัฟเฟิลขาว ดังนั้นแล้วถ้าหากจะมาสั่งอาหารที่ร้านนี้ คงต้องมองเมนูที่มีเห็ดทรัฟเฟิลเป็นหลักครับ

รีวิวอาหาร

งวดที่ไป เนื่องจากไปกันเป็นหมู่คณะใหญ่ ทางร้านอาหารเลยจัดเมนูเป็นอาหารชุดพิเศษมาให้ครับ เริ่มต้นกับของทั่วไปอย่างชุดขนมปัง ซึ่ง focaccia หรือขนมปังอบแบบอิตาลีที่มีเนื้อสัมผัสแบบพิซซ่านั้น ถือว่าอร่อยอย่างมากครับ ทานเปล่าๆ โดยไม่ต้องมีเนยทาเลยก็ได้

ขนมปัง
ชุดขนมปังจากทางร้าน

จานแรกคือ Veal Fillet Salad Confit Tuna Sauce and Mix Green ซึ่งก็คือสลัดเนื้อลูกวัวครับ รสชาติและเนื้อสัมผัสถือว่าทำได้ดีและสมดุลมาก ตัวเนื้อแทบจะละลายในปาก

Veal Fillet Salad
Veal Fillet Salad

จานต่อมาคือ Homemade Tagliolini Butter and Parmesan, “Melanosporum” Black Truffle โดยเส้น Tagliolini เป็นเส้นพาสต้าแบบดั้งเดิมของอิตาลีในเขต Emilia-Romagna และ Marche ถือว่ามีความบางและแบน ลักษณะเส้นจะคล้ายๆ กับเส้น Fettuccine

ฝาน Truffle ใส่จาน
ฝาน Truffle ใส่จาน

ความพิเศษของจานนี้อยู่ที่การใส่ Truffle ดำเยอะอย่างสะใจแทบไม่หวง (อย่างที่เห็นในภาพ เจ้าหน้าที่ร้านจะมาฝานใส่จานจนพูน กลิ่นของ Truffle จะหอมตลบอบอวลเต็มห้อง) เมื่อทานเข้าไปแล้ว จะได้สัมผัสของเห็ด Truffle เต็มๆ กลิ่นจะคละคลุ้งอยู่ภายในปาก ตัวเส้นปรุงสุกแบบ al dante ทำให้ได้สัมผัสที่มีความกรุบกรอบ เมื่อผสานเข้ากับความมันของเนยและชีส ก็ทำให้จานนี้ออกมาลงตัวมาก (ผู้เขียนชื่นชอบอย่างมาก)

Homemade Tagliolini
Homemade Tagliolini

ปิดท้ายด้วย Chocolate Trio with Warm Chocolate Macchiato ซึ่งเป็นชุดของหวาน โดยรวมถือว่าโอเค ยกเว้นเรื่องของลูกเล่นที่ยังคงขาดไป (คือถ้ามีลูกเล่น ให้เท Macchiato บนไอศกรีม จะอร่อยกว่านี้และสนุกกว่านี้อย่างแน่นอน)

Chocolate Trio
Chocolate Trio

ในตอนตบท้ายมีกาแฟและของว่างเล็กน้อย (เจลลี่ ช็อคโกแลต และ shortbread) ซึ่งเฉยๆ ยกเว้นช็อคโกแลตที่ทำออกมาได้ดี

ของหวาน เจลลี่ ช็อคโกแลต ช็อตเบรด
ของหวาน เจลลี่ ช็อคโกแลต ช็อตเบรด

สรุป

8 1/2 ถือเป็นหนึ่งในร้านอาหารอิตาลีของฮ่องกงที่ทำออกมาได้ดีอย่างมาก สมกับชื่อเสียงและดาวมิชลินที่ได้มา รสชาติหลายอย่างถือว่าอร่อยและสร้างความประทับใจได้เป็นอย่างดี ยกเว้นของหวานที่อาจจะไม่ค่อยมีลูกเล่นที่เด่นชัดมาก ใครที่ไปร้านนี้ควรเน้นอาหารที่มีเห็ดทรัฟเฟิลเป็นพิเศษ เพราะเชฟมีความชำนาญครับ

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยสำคัญก็คือเรื่องของราคาที่ถือว่าค่อนข้างสูง โดยราคาขั้นต่ำของร้านนี้อยู่ที่ประมาณ 600 ดอลลาร์ฮ่องกง (ประมาณ 2,400 บาท) และถ้ามีไวน์อาจจะแพงทะลุหลัก 1,000 ดอลลาร์ฮ่องกงได้ไม่ยาก แต่ถ้าต้องการจะไปลองสักครั้งในชีวิต ก็คุ้มค่าที่จะจ่ายครับ ทั้งนี้ข้อแนะนำคือควรสำรองที่นั่งล่วงหน้ากับทางร้านครับ