รีวิว Fukamachi Tempura เทมปุระระดับมิชลิน 1 ดาวกลางกรุงโตเกียว

สืบเนื่องจากที่ผู้รีวิวเป็นคนชอบของทอด ดังนั้นถ้าจะเลือกทานร้านอาหารดีๆ สักร้าน ก็ไม่แปลกที่เทมปุระจะอยู่ในโผที่เด้งขึ้นมาในใจอันดับแรกๆ

ร้านฟุคามาจิ (Fukamachi หรือ てんぷら深町) เป็นร้านเล็กๆ ย่าน Kyobashi ของกรุงโตเกียว อยู่ไม่ไกลจากสถานี Tokyo Station มีที่นั่งรอบบริเวณเคาเตอร์รูปตัว L นับที่นั่งในร้านคร่าวๆ ราว 12 ที่เท่านั้น จุดเด่นของร้านนี้ก็แน่นอนว่าเป็นเทมปุระ แถมมีดีกรีระดับมิชลิน 1 ดาวมาการันตีคุณภาพด้วย

ตอนที่ไปถึงร้านคือพร้อมร้านเปิดตอน 11 โมง มีคนรอเข้าไปแล้ว 6 คน และจองมาทั้งหมด ดังนั้น ถ้าจะไปแนะนำให้จองล่วงหน้าครับ ของผมเองก็ขอให้เพื่อนที่ญี่ปุ่นจองให้ ไม่เช่นนั้นคงต้องรอวัดดวงอยู่หน้าร้านเป็นแน่

Fukamachi เทมปุระระดับมิชลิน 1 ดาว

ปกติร้านอาหารที่เป็นร้านที่พิถีพิถันในทุกสิ่งอย่าง เมื่อมีดาวมิชลินมาติดประดับ ราคาต่อมื้อเกินหมื่นเยนเป็นเรื่องปกติ

แต่ทางร้านก็ยังปราณีต่อคนเบี้ยน้อยหอยน้อยอย่างเราๆ ดังนั้น ตอนกลางวัน Fukamachi จะมีชุดอาหารกลางวัน lunch set ให้คนทั่วไป (รวมทั้งผมด้วย) มีโอกาสมาสัมผัสความพรีเมียมในราคาที่ไม่เหนื่อยมากเกินไป

ตอนที่ผมลองหาข้อมูลร้านนี้ คือราวเดือนมีนาคม ปี 2014 ช่วงนั้น lunch set แบบโอมากาเสะ ที่ปิดท้ายด้วยด้ง จะอยู่ราว 6,000 เยน แต่หลังจากนั้น ปี 2015 ร้านปรับราคาเพิ่มเป็น 7,000 เยน และในปีที่ผมไปคือมีนาคม 2016 เพิ่มเป็น 8,000 เยน

คาดว่าปี 2017 มีแนวโน้มที่ราคาจะวิ่งไป 8,500-9,000 เยนด้วย ใครอยากไปกินก็รีบๆ กันหน่อยนะ

การมาเยือนร้าน Fukamachi รอบนี้ ผมสั่งชุดอาหารกลางวันอันกลางตามภาพ ราคา 9,000 เยนครับ ส่วนชุดอื่นๆจะ 7,000 เยน

หลังจากเข้าไปในร้าน จะมีคุณป้าผู้หญิงมารับเสื้อหนาวและกระเป๋าของเราไปช่วยแขวนด้านหลังให้ หลังจากนั้นเซ็ทอุปกรณ์เครื่องมือจะถูกจัดวางดังรูป

ไล่จากซ้ายไปขวา หัวไช้ท้าวขูด / ที่ใส่ผักดอง / น้ำจิ้มโชยุ / เลมอน / เกลือทะเล

ชามเงินตรงกลางด้านหน้าจะเป็นจุดปฏิสัมพันธ์ระหว่างเรากับเชฟ ชาเขียวเสิร์ฟมาทางด้านขวา

หลังจากนั่งสักพัก คุณป้าก็จะมาถามว่า เราจะสั่งเครื่องดื่มพิเศษหรือเปล่า ตอนแรกไม่ได้สั่ง แต่ทานไปสักพักเหลือบเห็นโต๊ะข้างๆ สั่งเบียร์แล้วก็เปรี้ยวปาก ไหนๆ ก็มาแล้ว จัดไป เลยสั่งมาบ้าง ค่าตัว 800 เยนครับ

เรามาเริ่มที่เทมปุระคำแรกของเราดีกว่า ที่ร้านนี้ เทมปุระแต่ละอย่าง จะถูกเตรียมตอนนั้นเลย ไม่ทอดไว้ล่วงหน้า มีแค่วัตถุดิบบางอย่างที่จัดวางไว้รอเท่านั้น เรียกว่า ทำกันคำต่อคำเลยทีเดียว

สเต็ปของเชฟคือ เตรียมวัตถุดิบ ชุบแป้ง ทอด เอาขึ้นวางถาดเหล็ก และแนะนำ และบางที เชฟจะแอบสังเกตหน้าและอาการของเราร่วมไปด้วยว่าจะปรับรูปแบบการนำเสนอคำถัดไปอย่างไร

เกริ่นกันมาพอสมควรแล้ว เริ่มกันเลยดีกว่า

คำแรก หัวกุ้งทอด กรอบไปทั้งอัน คำนี้ชุบแป้งน้อย ให้กลิ่นหอมของกุ้งแบบเต็มๆ รสสัมผัสเหมือนกินแป้งกรอบบางๆ หอมรสกุ้ง

คำนี้เชฟแนะนำให้ทานกับเกลือครับ

คำที่สอง กุ้งเทมปุระ เป็นการกินกุ้งเทมปุระที่อยากจะค่อยๆ กินอย่างช้าๆ มาก กุ้งเนื้อแน่นเปรี๊ยะ เรียกได้ว่า ด้านวัตถุดิบนั้นสุดจริงๆ ส่วนแป้งก็ทอดได้ลงตัว แป้งไม่เด่นกว่ากุ้ง และกุ้งเองก็ไม่ได้มีรสชัด จนสัมผัสรสแป้งไม่ได้ คำนี้ควรทานกับเกลืออีกเช่นกัน

เราถามเชฟว่า ทำไมต้องเกลือ เชฟบอกว่า วัตถุดิบที่ดีมากๆอยู่แล้ว แค่เกลือก็เพียงพอที่จะดึงศักยภาพทั้งหมดของอาหารออกมาไดั และจะไม่มีรสเด่นกลบวัตถุดิบนั้นๆ คำนี้อร่อยจริงๆ ครับ

คำถัดมาเป็นผักทอด ที่เราเรียกไม่ถูกในตอนแรก แต่หลังจากที่ไปหาข้อมูลในภายหลัง ทราบว่าผักนี้ชื่อว่า Taranome (Aralia Sprout)

ตรงนี้ขอให้สังเกตสักนิด ว่าแป้งเทมปุระของที่นี่ จะชุบผักเพียงแค่เคลือบบางๆ เท่านั้น รสแป้งกับรสของหน่อ Taranome เข้ากันได้ดีครับ เชฟบอกคำนี้ต้องจิ้มโชยุจึงเข้ากัน

คำที่สี่เป็นดอกไม้ชุดเทมปุระ Fukinoto (buttterbur sprout) ถ้าจะถามว่าในร้านนี้ มีสักอย่างไหมที่ไม่ถูกใจ ก็คงเป็นคำนี้ครับ ถึงแม้คำนี้ใช้แป้งที่หนาขึ้นเพื่อบาลานซ์รสสัมผัสของดอกไม้ แต่เสียดายที่ความขมยังคงอยู่ ทานแล้วรู้สึกว่า มันขมปลาย

ผมกับแฟนเห็นตรงกันว่าคำนี้ไม่ผ่าน ไม่ประทับใจเท่าไหร่ครับ คำนี้ ต้องจิ้มโชยุครับ

หมายเหตุ: คำที่ 3 และ 4 จะมีเสิร์ฟเฉพาะช่วงฤดูใบไม้ผลินะครับ

อันดับห้า ปลาทราย (Kisu) ปลาทรายนำมาทอดทั้งหางกันเลย ทอดมาทั้งชิ้น เป็นอีกคำที่ประทับใจ เพราะหลายครั้งเราพบว่าปลาทอดมักอมน้ำมัน แต่สำหรับที่นี่ รสชาดปลาใหม่ สด หอมมาก ไร้กลิ่นน้ำมันใดๆ มีแต่กลิ่นปลาและหอมแป้งบางๆ ล้วนๆ

คำนี้ควรทานกับเลมอนครับ

อันดับหก หน่อไม้ Takenoko (bamboo shoot) คำนี้ อร่อยดีครับ หน่อไม้กรอบ สดมากกกก จิ้มโชยุกินเพลินๆ

อันดับเจ็ด เห็ดทอด (Shitake) เป็นเห็ดที่ชิ้นใหญ่มากกกกก และมาสองชิ้น เชฟบอกชิ้นนึงจิ้มเกลือ ส่วนอีกชิ้นจิ้มโชยุ

ผมลองแล้วพบว่าจิ้มเกลือนี่ดีกว่า เห็ดมันเด้งมาก เกลือยิ่งดึงความสดหวานของเห็ดออกมาได้ดี

แถมให้ดูความเด้งชุ้มฉ่ำของเนื้อเห็ดตอนกัดแล้วครับ

อันดับแปด หอยเชลล์ (hotate) เป็นอีกวัตถุดิบที่เต็มปากเต็มคำครับ เนื้อหอยนี่ เด้งมาก เคี้ยวนี่ กรอบและหยุ่น บวกความกรอบหอมของแป้งเทมปุระแล้ว ลงตัวดีครับ คำนี้แบ่งทานกับเกลือและโชยุครับ

อันดับเก้า หน่อไม้ฝรั่ง คำนี้ประทับใจมากครับ มันสด กรอบ อร่อยมาก กัดเข้าไปนี่ เสียงกรอบแตกของแป้งและผักมันชัดมาก ที่สำคัญไม่มีอมน้ำมันเลย แต่ละคำนี่ ทอดกันแบบใส่ใจจริงๆ ไม่มีมาทอดทิ้งไว้แล้วไปทำอย่างอื่น เชฟเอาลงทอดแล้วจะจดจ่อให้การทอดแต่ละครั้งออกมาดีที่สุด

ในฐานะคนที่ทอดอะไรบ่อยๆ การควบคุมไฟและแป้ง รวมถึงการผลิตของที่ทอดสำคัญมากๆ ถ้าปล่อยทิ้งขว้าง ทอดทิ้งไว้นี่ควบคุมสีแป้งไม้ได้แบบนี้นะครับ เหลืองไปบ้าง ขาวไปบ้าง อมน้ำมันบ้าง แป้งแตก แป้งหลุด สารพัด ชื่นชมเชฟจริงๆ ที่ใส่ใจทุกรายละเอียด

คำที่สิบ ปลาไหล คำนี้ก็อร่อยดีนะครับ นุ่ม และหอมมาก

อาหารที่สั่งเพิ่มเอง

ไข่หอยเม่นห่อใบชิโสะ คำนี้นี่ความอยากล้วนๆ ผมชอบหอยเม่นเป็นทุนเดิม แล้วก็ชอบเทมปุระมากๆ ด้วย ดังนั้น เมื่อมีเมนูที่มีสองอย่างมารวมกันแบบนี้ ก็จัดไปสิครับ จะรออะไร ค่าตัว คำละ 2,000 เยน

คำนี้ถามว่าอร่อยหรือเปล่าก็อร่อยนะครับ แต่กินแล้ว ยังชอบกุ้งกับหอยเชลล์มากกว่า

ปิดท้ายรอบของคาวด้วย ข้าวด้งหอยเชลล์ (เบบี้) เมนูนี้ ช่วงกลางวันวันธรรมดา พนักงานออฟฟิสบางทีก็นิยมมากิน ด้วยราคาที่ไม่แพงมาก และความอร่อยระดับนี้ เห็นรูปแล้วหิวเลย!

แป้ง หอย รวมทั้งน้ำราด เข้ากันได้ดี น้ำราดมีทั้งเปรี้ยว หวาน เค็ม แต่เบา และไม่เลี่ยน ถ้าเชฟแถมให้อีกสองชามก็ทานหมด พูดเลย อร่อยมากครับ ด้งจะมาพร้อมซุปหอย ซุปหอยก็อร่อยมาก ถ้าไม่เกรงใจนี่ขอเพิ่มไปละ

ปิดท้ายมื้อด้วยไอศครีมเชอร์เบ็ท น่าจะเป็น homemade เป็นของปิดท้ายที่เคลียร์ความคาวในปากได้แบบหมดสิ้น อร่อย เปรี้ยว หอม ปิดท้ายไปแบบประทับใจครับ

สรุป ใครชอบเทมปุระ และของทอด ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง ติเรื่องเดียวคือดอกไม้คำนั้น ไม่ผ่านจริงๆ และก็ขออย่ารีบขึ้นราคานักเลย จะได้กลับไปกินอีกได้บ่อยๆ

ราคาค่าตัวของมื้อนี้ครับ

ขอจบการรีวิวไว้เพียงเท่านี้ครับ ขอบคุณครับ

แผนที่และการเดินทาง

สถานีที่ใกล้ที่สุด : Kyobashi Station เดินออกมาจากสถานีก็แทบจะเจอร้านเลย หรือจะลงสถานีใหญ่ Tokyo Station ก็อยู่ในระยะที่เดินไปได้