10 เหตุผล เที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเอง ไม่ง้อทัวร์

10 เหตุผลที่คุณควรไปเที่ยวญี่ปุ่นแบบ Backpacker จัดทริปเองไม่ง้อทัวร์

10 เหตุผล เที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเอง ไม่ง้อทัวร์

ทุกวันนี้ใครๆ ก็ไปเที่ยวญี่ปุ่นกัน หลังการปรับกฎเกณฑ์ไม่ต้องใช้วีซ่า ทำให้คนไทยไปเที่ยวญี่ปุ่นง่ายขึ้นมากๆ พอการท่องเที่ยวญี่ปุ่นยิ่งบูม ตั๋วเครื่องบินไปญี่ปุ่นยิ่งหาง่าย มีสายการบิน low cost หลายเจ้ามาเปิดแข่งกันมากมาย

อย่างไรก็ตาม การไปเที่ยวญี่ปุ่นมีได้หลากหลายรูปแบบ ทั้งไปกับทัวร์ตามแบบฉบับปกติทั่วไป จ่ายเงินครบแล้วไม่ต้องทำอะไรมาก ไปให้ถึงสนามบินเป็นพอ เหมาะสำหรับคนที่ไม่ชอบอะไรยุ่งยากและเส้นความสะดวกสบาย

แต่ในอีกมุมหนึ่ง คนจำนวนไม่น้อยก็นิยมไปเที่ยวญี่ปุ่นกันเอง จัดทริปกันเอง แบกกระเป๋าไปเอง ซึ่งทีมงาน 2Baht ก็เคยไปเที่ยวแบบ backpack ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงปี 2013 และพบความประทับใจเต็มเปี่ยม

เราพบว่าเพื่อนหลายๆ คนที่อยากไปญี่ปุ่นด้วยตัวเอง ยังอาจลังเลและไม่แน่ใจในหลายๆ ประเด็น เช่น มีปัญหาเรื่องภาษาไหม การเดินทางเป็นอย่างไร เราขอรวมหลายๆ เหตุผลชักจูงใจให้ไปเที่ยวญี่ปุ่นแบบ Backpacker ซึ่งถ้าไปแล้วรับรองคุณต้องอยากไปอีกหลายๆ ครั้งอย่างแน่นอน

หลักใหญ่ใจความแล้ว การเดินทางเที่ยวญี่ปุ่นแบบ backpacker นั้น “ได้อะไรมากกว่าไปทัวร์” ในขณะเดียวกันต้นทุนความยุ่งยากการเดินทางก็ “ไม่ได้ยากจนเกินไป”

เริ่มจากสิ่งที่เราได้มากกว่าจากการไปญี่ปุ่นแบบ backpacker กันก่อนค่ะ

1. มีอิสระในการเดินทางเต็มที่

ข้อนี้ไม่จำกัดเฉพาะ “ญี่ปุ่น” เพราะไม่ว่าจะเป็นการเที่ยวแบบ Backpacker ไปยังจุดหมายใดในโลก เหตุผลสำคัญสำหรับชาว Backpacker ที่เลือกเดินทางวิธีนี้คือ “อิสระในการเดินทาง” ตามใจคุณ

อิสระที่ว่านี้มีตั้งแต่ตารางการท่องเที่ยวที่คุณสามารถออกแบบได้เอง เลือกที่เที่ยว-ที่กิน-ที่พัก หรือแม้แต่วันเดินทางได้เองหมด ไม่ว่าจะเป็นทัวร์ชมซากุระ ทัวร์ใบไม้เปลี่ยนสี ทัวร์ตามรอยเชฟกระทะเหล็ก ทัวร์คอสเพลย์ ทัวร์ตามหาโดราเอมอน คิตตี้ ริลักคุมะ ทัวร์ช้อปปิ้งสกินแคร์ ก็มีสารพัดรูปแบบสำหรับประเทศญี่ปุ่น

ทริปของเราเลือกเดินทางไปยังเป้าหมายที่ไม่สามารถไปกับทัวร์ได้เลย ไม่ว่าจะเป็นการชมใบไม้เปลี่ยนสีถึงถิ่น มีแช่ออนเซ็นน้ำนมในเรียวกังเก่าแก่ ทานอาหารอร่อยๆ หลากเมนู ไม่ว่าจะเป็นเนื้อย่างเกรด 5A  เทมปุระ ซูชิ ราเมง ที่ต้องไปยืนรอคิวแทบจะทุกร้าน แถมยังตามรอยการ์ตูนชื่อดังของญี่ปุ่น “วันพีซ” ด้วยการไปทานอาหารที่ภัตตาคาร Baratie ซึ่งทัวร์ไหนๆ คงไม่สามารถรวมรายการพวกนี้ไว้ได้ในคราวเดียว

Nyuto Onsen
บ่อน้ำแร่ Nyuto Onsen น้ำแร่สีนมกลางป่าใบไม้สีทอง หาไม่ได้จากทัวร์แน่ๆ แต่ไปกันเองได้นี่นา

2. เลือกกินอาหารร้านอร่อยได้ตามใจคุณ (ด้วย Tabelog)

นอกจากอิสระในการท่องเที่ยวแล้ว เมื่อไปถึงญี่ปุ่น ดินแดนแห่งอาหารชั้นเลิศ การจะกินแต่อาหารที่ทัวร์จัดให้อย่างเดียวก็กระไรอยู่ (อย่างไรก็ตาม ถ้าจะให้แฟร์เราควรมองว่าร้านที่ใหญ่พอจะรับทัวร์ครั้งละ 30-40 คนได้ก็มีไม่เยอะอยู่แล้ว)

คำถามต่อมาคือ ไปญี่ปุ่นแล้วจะกินอะไรกันดี? ร้านอะไรบ้างที่อร่อย?

เจ้าแห่งข้อมูลแบบญี่ปุ่นแล้วย่อมมีอะไรเป็นตัวช่วย เราขอแนะนำเว็บ tabelog.com (อ่านว่า “ทาเบะล็อก” – วิธีการใช้งาน Tabelog สามารถอ่านได้จากบทความ กินอาหารสุดอร่อย แต่จ่ายน้อยกว่าที่ญี่ปุ่น) เว็บรีวิวร้านอาหารสัญชาติญี่ปุ่นแท้ๆ ที่มีข้อมูลร้านอาหารในญี่ปุ่นจำนวนมหาศาล แถมยังมีระบบคะแนนโหวตที่มีมาตรฐาน ทำให้เราไม่ต้องคิดอะไรมาก ขอแค่ดูระดับคะแนนว่าเกินค่ามาตรฐาน (ประมาณ 3 คะแนนขึ้นไปจากเต็ม 5 คะแนน) ก็ถือว่ายอดเยี่ยมแล้ว

ดังนั้นในการเที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเอง เราเพียงแค่วางแผนว่าจะเดินทางไปที่ไหนบ้างให้เสร็จก่อน จากนั้นเช็คข้อมูลจาก Tabelog ว่าในแต่ละมื้ออาหารนั้นเราจะอยู่แถวไหน แล้วเลือกร้านอร่อยๆ ใน Tabelog มาเตรียมรอไว้ได้เลย

Tabelog
หน้าเว็บ Tabelog ค้นข้อมูลร้านอาหารได้ทั่วญี่ปุ่น

3. หิวเมื่อไหร่ก็แวะมา ร้านสะดวกซื้อ-ตู้กดน้ำทุกตรอกซอกซอย

ถัดจากอาหารมื้อหลักแล้ว ญี่ปุ่นยังถือเป็นดินแดนแห่งขนมที่ถูกใจคนไทย อยู่ญี่ปุ่นไม่ต้องกลัวอด เพราะทั้งประเทศเต็มไปด้วยเครื่องขายของอัตโนมัติและร้านสะดวกซื้อที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมง

ยิ่งถ้าย่านประชากรหนาแน่นอย่างโตเกียวหรือหัวเมืองสำคัญ ร้านสะดวกซื้อเบียดกันยิ่งกว่าเซเว่นบ้านเรา (ญี่ปุ่นเป็นประเทศแห่งตู้ขายของอัตโนมัติเต็มไปหมด จนมีสถิติว่า 1 เครื่องต่อประชากร 23 คน อ้างอิงจาก Wikipedia, ส่วนร้านสะดวกซื้อ ที่คนญี่ปุ่นเรียก “คอนบินิ” ก็มีสถิติว่า 1 สาขาต่อประชากร 2,000 คน อ้างอิงจาก Wikipedia)

นอกจากนี้ ราคาสินค้าในร้านสะดวกซื้อเหล่านี้ก็ถือว่าไม่แพงเมื่อเทียบกับค่าครองชีพ และความอร่อยของอาหารร้านสะดวกซื้อที่นี่ ถือว่ามาตรฐานสูงกว่าไทยเยอะเลย ส่วนเรื่องตู้กดก็ไม่ได้มีเฉพาะน้ำกระป๋องหรือนมกล่อง แต่พัฒนาไปไกลถึงขั้นมีเครื่องดื่มร้อน หรืออาหารอุ่นร้อนในตัว (กดแล้วต้องรอตู้เวฟให้เราอีกแป๊บนึง) ตามภาพเป็นตู้กดไก่ทอด มันทอด และทาโกะยากิที่เราเคยไปเจอมา

Slot Machine
ตู้กดอาหารแบบอุ่นร้อน ของแปลกที่เมืองไทยยังไม่มี

4. เที่ยวถูกไม่ง้อทัวร์ วางแผนค่าใช้จ่ายที่กำหนดได้เอง

สำหรับนักท่องเที่ยวกระเป๋าเบา ที่อาจเป็นคนรุ่นใหม่ เพิ่งเริ่มทำงาน ยังมีเงินเก็บไม่เยอะ แต่ใจมันเรียกร้องอยากไปสัมผัสประสบการณ์ “ญี่ปุ่น” กับเขาบ้าง การไปเที่ยวแบบ Backpacker แล้ววางแผนค่าใช้จ่ายดีๆ ย่อมช่วยประหยัดเงินในกระเป๋าลงได้มาก

หลักการทั่วไปคือ

  • เดินทางด้วยสายการบิน Low Cost หรือตั๋วโปรโมชั่นช่วงลดราคา อย่างภาพตัวอย่างข้างล่าง ถ้าบิน AirAsia X จากกรุงเทพไปซัปโปโร ค่าตั๋วเริ่มที่ 4,990 บาทเท่านั้น โปรโมชั่นแบบนี้มีอยู่เรื่อยๆ ต้องขยันติดตามข่าว
  • นอน Hostel แบบนอนรวม หรือโรงแรมขนาดเล็กที่อาจมีสิ่งอำนวยความสะดวกน้อยลงหน่อย (โรงแรมญี่ปุ่นแพงมาก ถ้าประหยัดตรงนี้ได้ ช่วยได้เยอะ)
  • เลือกทานข้าวแต่ละมื้อให้ประหยัดสักหน่อย กินอาหารตามร้านสะดวกซื้อบ้างก็ได้

ตัวอย่างทริป Backpacker เที่ยวญี่ปุ่นแบบประหยัดมีให้ลอกตามมากมายใน Pantip ขึ้นกับความประหยัดมัธยัสถ์ของแต่ละคนว่า จะยอมเสียเงินเพิ่มเพื่อแลกกับประสบการณ์ หรือจะเน้นไปที่ราคาถูกสุดๆ ตัวอย่างกระทู้ใน Pantip คำนวณให้เราดูว่าการไปญี่ปุ่น 5 วัน อาจใช้เงินไม่ถึง 25,000 บาทเท่านั้นถ้าบริหารดีๆ

AirAsia X Sapporo
ตั๋วเครื่องบินราคาถูกมีอยู่ทั่วไป เดี๋ยวนี้ยิ่งแข่งกันดุเดือด

5. เปิดประสบการณ์ชีวิต ได้เห็นมุมมองใหม่ๆ จากโลกใบเดิม

การท่องเที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเอง เดินทางด้วยระบบขนส่งมวลชน มีเวลาสัมผัสชีวิตความเป็นอยู่ของคนญี่ปุ่น ย่อมเป็นโอกาสแสนงามสำหรับการเก็บประสบการณ์ญี่ปุ่นเต็มรูปแบบ ที่เราไม่สามารถหาได้จากการไปทัวร์แล้วนั่งรถโค้ชจากหน้าโรงแรม ลงรถอีกทีเมื่อถึงที่หมายปลายทางแล้ว

การสัมผัสประสบการณ์โดยตรงแบบนี้ เป็นสิ่งที่แม้แต่หนังสือ หรือ สารคดี ก็ไม่สามารถทำให้เราสัมผัสได้เต็มที่ อย่างเช่น

  • เราจะเห็นคนญี่ปุ่นขยันขันแข็งในการเดินทางไปทำงานในช่วงเช้าๆ แบบว่าเดินอย่างไรก็ตามแทบจะไม่ทัน ทั้งที่เธออาจจะเป็นสาวหุ่นผอมเพรียวใส่ส้นสูง 2-3 นิ้ว แต่ก็เดินฉับๆ อย่างมั่นใจ
  • แม้ทุกคนจะดูเร่งรีบตลอดเวลา แต่เค้าก็เคารพกฎกติกาของสังคม สามารถยืนต่อคิวหน้าร้านอาหารได้เป็นชั่วโมงๆ ท่ามกลางสายฝน โดยไม่มีมนุษย์ลุง มนุษย์ป้ามาเดินแทรกคิวแบบบ้านเรา
  • เมื่อเดินช้อปปิ้งเพลินๆ เราอาจจะเห็นเด็กสาววัยมัธยมตะโกนเรียกลูกค้าเข้าร้าน พร้อมหน้าตายิ้มแย้ม แบบไม่รู้จักเหนื่อยกันเลย (ตอนสมัยเราเท่าน้องเค้า ยังขอตังค์พ่อแม่ใช้อยู่เลยนะ – -”)
  • ในเมืองชนบทเล็กๆ ของญี่ปุ่นที่ผู้คนไม่ถนัดภาษาอังกฤษ แค่เราชี้ๆ ภาพเรียวกังที่เราจะไปเท่านั้นแหละ ทุกคนก็ให้ความช่วยเหลือบอกทางเราเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นคุณลุงขับรถบัส คุณลุงในสำนักงานท่องเที่ยวญี่ปุ่นที่ช่วยประสานงานให้
  • และยังมีมุมเล็กๆ ที่คุณไปเที่ยวจุดใดก็แอบอมยิ้มไม่ได้ อย่างเช่น เราไปเจอน้องหมาจากหลายๆ บ้านที่มายืนรวมตัวกันถ่ายรูปอย่างเรียบร้อย ไม่ทะเลาะกันเอง และไม่เห่าใส่ผู้คนเลย
Hitachi
วัฒนธรรมญี่ปุ่นไม่ได้มีแต่ซามูไรหรือคนใส่ชุดกิโมโน แต่เราก็มีโอกาสเห็นแก๊งหมาน้อยของสาวญี่ปุ่นด้วยเช่นกัน

เมื่อรับทราบข้อดีของการไปเที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเองครบ 5 ข้อแล้ว ที่เหลือก็จะเป็นเหตุผลว่าการเที่ยวญี่ปุ่นนั้นไม่ยากอย่างที่คิด เพราะสาธารณูปโภคต่างๆ เพียบพร้อมมาก ต่อให้ไม่เคยไปต่างประเทศมาก่อน ก็ยังสามารถไปเที่ยวญี่ปุ่นได้สบาย

6. ระบบขนส่งมวลชนที่ยอดเยี่ยมสุดๆ

การใช้ระบบขนส่งมวลชนของญี่ปุ่นนั้นง่ายกว่าเมืองไทยมาก ๆ เพราะเครือข่ายการขนส่งคมนาคมเชื่อมต่อกันทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นรถไฟความเร็วสูง รถไฟใต้ดิน รถไฟธรรมดา รถบัส หรือแม้แต่แท็กซี่

ในการเดินทางระหว่างเมืองมักนิยมใช้รถไฟเป็นหลัก โดยญี่ปุ่นพยายามจูงใจต่างชาติให้เดินทางด้วยรถไฟผ่านบัตรโดยสาร Japan Rail Pass (JR Pass)  ที่ขายเฉพาะชาวต่างชาติเท่านั้น (รายละเอียดของ JR Pass และวิธีซื้อ-ใช้งาน หาได้ทั่วไปในอินเทอร์เน็ต คนไทยเขียนไว้เยอะมาก) บัตร JR Pass เป็นบัตรเหมาที่มีอายุ 7-14-21 วัน เดินทางด้วยระบบขนส่งมวลชนได้ทุกรูปแบบ แม้กระทั่งรถไฟหัวกระสุนชินคันเซ็นราคาแพง บัตร JR Pass นี้แม้แต่คนญี่ปุ่นยังอิจฉา อยากมีบ้างเพราะมันถูกกว่าการซื้อตั๋วราคาปกติมากๆ

ข้อดีของการท่องเที่ยวโดยสารด้วยรถไฟญี่ปุ่นคือเวลาตรงเป๊ะๆ ไม่ต้องเสียเวลาเช็คอินกระเป๋าเหมือนเครื่องบิน ทำให้แผนการเดินทางที่เราวางไว้ไม่มีสะดุด ยิ่งถ้าได้นั่งรถไฟแบบชินคันเซ็นบางขบวนก็ทำความเร็วถึง 300 กม.++ /ชั่วโมง แล้วรับรองจะติดใจ เพราะนั่งแป๊บๆ ก็ถึงที่หมาย แถมที่นั่งกว้างขวาง นั่งสบายกว่าเครื่องบินมากๆ (บทความการเดินทางด้วย Shinkansan ภูมิภาค Tohoku)

หมายเหตุ ขบวนรถไฟญี่ปุ่นจะมีข้าวกล่องขายด้วย ทั้งตามชานชาลา หรือ แม้แต่ในรถก็ยังมี ถ้าตารางเที่ยวแน่นมากๆ ลองชิมข้าวกล่องรถไฟกันก็ไม่เลวนะ

Tohoku Shinkansen
คนญี่ปุ่นเดินทางข้ามเมืองด้วยชินคันเซ็น รวดเร็ว สะดวก แถมไม่แพงถ้าซื้อ JR Pass

7. กระเป๋าเดินทางไม่ใช่อุปสรรคสำหรับ Backpacker ที่มาเที่ยวญี่ปุ่น

ใครๆ อาจจะคิดว่า Backpacker จะต้องมาแนวคล้ายๆ ฝรั่งแบกเป้ใบใหญ่ๆ เดินตามถนนข้าวสาร อะไรประมาณนั้น

แต่ที่ญี่ปุ่นเราไม่จำเป็นต้องไปสมบุกสมบัน Backpack แบกของตลอดเวลาถึงขั้นนั้น เพราะสิ่งอำนวยความสะดวกเรื่องกระเป๋าดีกว่าเมืองไทยเยอะ เพราะเราไม่จำเป็นต้องถือกระเป๋าเดินทางติดตัวไปตลอดเวลาเสียหน่อย ปัจจัยช่วยด้านสัมภาระระหว่างเดินทางมีดังนี้

  • ฟุตบาธญี่ปุ่นมีคุณภาพสูงกว่าเมืองไทยมาก เรียบเนียนชนิดเอาหน้าไปแนบได้ มีทาง slope ขึ้นลงทำให้ลากกระเป๋าได้อย่างต่อเนื่อง ไม่มีขี้หมา น้ำเสีย ฝาท่อ ร้านค้าแผงลอยมาขวางทางให้เกะกะ ดังนั้นการลากกระเป๋าขึ้นรถไฟ แล้วลากต่อไปยังโรงแรมที่พักย่อมทำได้ง่าย ไม่ต้องเปลืองค่าแท็กซี่หากโรงแรมไม่ไกลเกินไป
  • ระหว่างการออกท่องเที่ยวช่วงกลางวัน สถานีรถไฟหรือห้างสรรพสินค้าในญี่ปุ่นยังมีบริการล็อกเกอร์ฝากกระเป๋าแบบหยอดเหรียญ ทำงานอัตโนมัติ คิดราคาเป็นรายวัน ทำให้เราสามารถเดินทางออกจากโรงแรมตอนเช้า ไปเก็บกระเป๋าที่สถานีรถไฟ แล้วนั่งรถไฟตัวปลิวไปเที่ยวระหว่างทางได้สบายๆ ก่อนจะกลับมาเอากระเป๋าคืนในช่วงเย็นหรือวันถัดไป (ข้อมูล – ขนาด size locker ต่างๆ สำหรับเช็คว่ากระเป๋าของเราใส่ได้ และรวมแผนสถานีรถไฟพร้อมตำแหน่ง locker ของ JR East)
  • หากไปเที่ยวนานหน่อย ชนิดอยู่เป็นสัปดาห์ และมีกระเป๋าแตกลูกแตกหลานจากการช็อปปิ้งรายทาง เรายังมีตัวช่วยด้วยบริการ “แมวดำ” Yamato Kuroneko  บริษัทขนส่งเอกชนที่มีโลโก้แมวดำคาบลูก บริการขนส่งดีๆ ประหนึ่งแมวดำคาบลูกของตัวเอง ช่วยขนส่งกระเป๋าบางส่วนของคุณเดินทางไปกับแมวดำก่อน แล้วเราค่อยไปรอรับที่ปลายทางโดยเลือกวันและเวลาได้ตามต้องการ บริการนี้มีในร้านสะดวกซื้อใหญ่ๆ บางสาขา หรือ บางโรงแรมก็อำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้าด้วย (วิธีการใช้บริการแมวดำ จาก pantip)
Locker
ตัวอย่างล็อคเกอร์ในโตเกียว ไฮเทคมาก ทุกอย่างเป็นระบบอัตโนมัติหมด

8. เข้าถึงอินเทอร์เน็ตจากทุกที่ ไปไหนไม่ต้องกลัวหลง

การท่องเที่ยวในยุคสมาร์ทโฟนง่ายขึ้นมาก เพราะมีปัญหาอะไรก็เปิดแอพแผนที่พวก Google Maps ดูว่าเราอยู่ตรงไหน และเราจะไปยังเป้าหมายปลายทางได้อย่างไร

ถึงแม้ระบบสมาร์ทโฟนของไทยและญี่ปุ่นไม่สามารถใช้ร่วมกันได้ตรงๆ แต่ประเทศที่ก้าวหน้าทางเทคโนโลยีแบบญี่ปุ่น ปัญหานี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพราะมีบริการ “เราเตอร์ WiFi” ที่ต่อเครือข่าย 3G/4G ของญี่ปุ่น แล้วกระจายสัญญาณเน็ตผ่าน WiFi ให้นักท่องเที่ยวชาวไทยแบบเราๆ สามารถดูแผนที่หรือโพสต์ภาพเซลฟี่ได้จากทุกมุมของญี่ปุ่น ตราบเท่าที่มีสัญญาณเน็ต

ถ้าไม่ใช้ Pocket WiFi ก็อีกหนึ่งทางเลือกคือ Free WiFi ตามสถานที่ต่างๆ ซึ่งทางประเทศญี่ปุ่นก็แจกแอพให้เชื่อมต่อ WiFi ได้ฟรี กว่า 144,000 จุดทั่วญี่ปุ่นอยู่แล้ว

PocketWiFi
ตัวอย่าง Pocket WiFi ที่เชื่อมต่อผ่านเครือข่าย WiMAX

9. ตามหาซากุระบาน-ใบไม้แดง ไม่ต้องพึ่งพาโชคเพราะมีพยากรณ์ล่วงหน้า

ไฮไลท์ของการเที่ยวญี่ปุ่นในฤดูใบไม้ผลิคือการชมซากุระบาน ส่วนฤดูใบไม้ร่วงคือชมใบไม้เปลี่ยนสี สองอย่างนี้ต้องพึ่งพาโชคชะตาเพราะขึ้นกับฤดูกาล แต่ในสมัยนี้ทุกอย่างสามารถพยากรณ์ล่วงหน้าได้ และมีหลายหน่วยงานที่ออกพยากรณ์วันที่ซากุระแต่ละเมืองจะบาน โดยจะออกบทวิเคราะห์และปรับปรุงตารางพยากรณ์กันทุกสัปดาห์ไปเรื่อยๆ ยิ่งใกล้ก็ยิ่งแม่นขึ้น แถมยังมีบางเว็บถ่ายรูปตามแหล่งท่องเที่ยวสำคัญๆ ให้อีกว่าดอกซากุระ หรือ ใบไม้แดงในแหล่งท่องเที่ยวสำคัญล่าสุดถึงช่วง Peak แล้วหรือยัง (ตารางอัพเดตพยากรณ์ซากุระที่ญี่ปุ่นปี 2017)

หมายเหตุ หากใครที่ต้องการเที่ยวแบบชมซากุระ หรือ ใบไม้แดง แนะนำให้ติดตามผลพยากรณ์ไปเรื่อยๆ โดยอาจจะจองโรงแรมที่อยู่กลางๆ ของแหล่งท่องเที่ยวละแวกนั้น เลือกสถานที่ชมซากุระหรือใบไม้แดงให้เยอะๆ ไปก่อน  จน  1 สัปดาห์ก่อนเดินทางค่อยดูผลการบานอย่างใกล้ชิดว่าจะไปที่ใดบ้าง (ไม่สวยก็คัดออก สวยก็ไปเที่ยว)

พยากรณ์ซากุระบาน โดย Japan Meteorological ครั้งที่ 1 เมื่อ 18 มกราคม 2017

10. ปลอดภัย มั่นใจ ระดับความปลอดภัยในชีวิตติดอันดับต้นๆ ของโลก

ญี่ปุ่นถือว่าเป็นประเทศที่มีความปลอดภัยเป็นอันดับต้นๆ ของโลก โดยทางเว็บ Numbeo.com ได้จัดทำค่าดัชนีความปลอดภัยในลำดับที่ 8 เชียวแหละ (ในรูปยิ่งเขียวแปลว่ายิ่งมีความปลอดภัย อาชญากรรมน้อย)

การไปญี่ปุ่นแบบ Backpacker อาจปลอดภัยกว่าเดินทางไปเที่ยวต่างจังหวัดของไทยด้วยซ้ำ สาวๆ ไปกันเองเป็นกลุ่มก็สามารถเดินทางได้อย่างวางใจ ถ้ามีปัญหาอะไรคนญี่ปุ่นยินดีให้ความช่วยเหลือเสมอ และถ้าอยู่ในเมืองใหญ่ คนรุ่นใหม่ส่วนใหญ่พูดภาษาอังกฤษได้ในระดับหนึ่ง!

CrimeIndex2015

หมายเหตุ ปัญหาอาชญากรรมที่ใหญ่สุดของญี่ปุ่น อาจจะเป็นเรื่องที่เราๆ อาจจะคาดไม่ถึง นั่นก็คือ จักรยานหาย! ซึ่งมีสัดส่วน 6.6 คัน ต่อประชากร 100,000 คน ถือเป็นอันดับที่ 2 ของกลุ่มประเทศ G20 รองจากฮอลแลนด์ แต่อย่างไรก็ตาม ตำรวจที่นี่ก็แข็งขันกันมาก กว่า 50% ของจักรยานที่ถูกขโมยสามารถตามจับได้นะ (ข้อมูลอ้างอิงจาก Japan-talk.com)

เมื่อนับข้อดีได้ทั้ง 10 ข้อแล้ว อย่างนี้จะไม่ให้อยากไปวางแผนไปเที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเองอีกหลายๆ รอบได้อย่างไรกันเนอะ คุณว่าจริงมั้ย 🙂

คุณสามารถติดตามข่าวสารจากเราที่ facebook เพจ “2baht.com” ได้อีกหนึ่งช่องทางนะคะ