“จอร์แดน” (Jordan) เป็นประเทศแถบตะวันออกกลางที่หลายคนอาจเพียงแค่เคยได้ยินชื่อ แต่อาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตั้งอยู่ตรงไหน (จริงๆ แล้วจอร์แดนอยู่ข้างๆ ประเทศอิสราเอลและซาอุดิอาระเบีย)
อย่างที่เรารู้กันว่าดินแดนแถบตะวันออกกลางเต็มไปด้วยทะเลทราย ซึ่งเป็นภูมิประเทศที่คนไทยอาจไม่ค่อยคุ้นเคยนัก และฟังดูแล้วไม่ค่อยน่าไปเที่ยวเท่าไร แต่ในความเป็นจริงนั้น จอร์แดนถือเป็นประเทศที่น่าเที่ยวมากแห่งหนึ่ง เต็มไปด้วยแหล่งท่องเที่ยวสำคัญทั้งแนวธรรมชาติและอารยธรรมโบราณ
ทีมงาน 2Baht.com เคยไปเที่ยวประเทศจอร์แดนมาแล้วครั้งหนึ่ง และพบว่าเป็นประเทศที่ควรค่าแก่การไปเยือนเป็นอย่างยิ่ง แต่คนไทยยังไม่ค่อยรู้จักกันเท่าไรนัก เราจึงรวบรวม 10 เหตุผลที่อยากจะแนะนำให้คุณรู้จักและสนใจเลือก “จอร์แดน” เป็นเป้าหมายการเดินทางแห่งต่อไป
1) Petra หนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก
สัญลักษณ์แห่งประเทศจอร์แดนย่อมเป็นอย่างอื่นไม่ได้นอกจาก “เพตรา” (Petra) เมืองในหุบเขากลางทะเลทราย ที่สลักเนื้อหินเข้าไปเป็นที่อยู่อาศัยตั้งแต่เมื่อสองพันกว่าปีก่อน เพตรา ถูกจัดให้เป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกจากการจัดอันดับของ New 7 Wonders Foundation ในปี 2001 ร่วมกับสิ่งมหัศจรรย์อื่นๆ อย่างกำแพงเมืองจีน พีระมิด และทัชมาฮาล
เมืองเพตราถูกสร้างขึ้นโดยชาวนาบาเทียน (Nabatean) ราว 300 ปีก่อนคริสตกาล อาณาจักรแห่งนี้ยอมอ่อนน้อมต่อจักรวรรดิโรมัน และถูกใช้เป็นจุดแวะพักของขบวนพ่อค้าคาราวานในทะเลทรายแถบนี้
เพตราตั้งอยู่ในทะเลทรายทางใต้ของประเทศจอร์แดน ห่างจากเมืองหลวงกรุงอัมมานไปพอสมควร แต่ถ้าจะไปจอร์แดนแล้วก็ต้องมาให้ถึงเพตรา ซึ่งเราไปเยือนมาแล้วพบว่ายิ่งใหญ่ อลังการสมคำร่ำลือ นักท่องเที่ยวจะต้องเดินเท้าผ่านตรอกผาเล็กๆ ที่กว้างแค่รถม้าวิ่งสวนกันได้ ก่อนจะเข้าไปสัมผัส “เมืองโบราณ” ที่สร้างอยู่ในหุบเขา และเป็นการเจาะหินเข้าไปเพื่อทำเป็นที่อยู่อาศัยทั้งหมด
2) สัมผัสประสบการณ์ “ทะเลทราย” ของแท้
คนไทยกับทะเลทรายถือเป็นอะไรที่ห่างไกลกันมาก การบอกเพื่อนและคนรู้จักว่าเราจะไปเที่ยวทะเลทรายคงไม่ใช่สิ่งที่คนฟังจะเข้าใจได้ทันที (เราก็เจอปัญหานี้!) แต่เมื่อได้ไปเหยียบทะเลทรายจริงๆ ก็พบว่ามันเป็นประสบการณ์แปลกใหม่ที่น่าประทับใจ
จอร์แดนเป็นดินแดนทะเลทรายแทบทั้งประเทศ ระหว่างทางเต็มไปด้วยเนินทรายสุดลูกหูลูกตา ต้นไม้ใหญ่เป็นเรื่องหายากและเป็นสิ่งฟุ่มเฟือยของคนรวย ทะเลทรายหลายแห่งมีประวัติศาสตร์เก่าแก่น่าจดจำ เช่น ทะเลทรายวาดิรัม (Wadi Rum) ที่เต็มไปด้วยเทือกเขาหิน และมีประวัติเคยเป็นฐานบัญชาการศึกในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ที่ลอว์เรนซ์แห่งอาระเบีย นายทหารชาวอังกฤษผูกมิตรกับชาวเผ่าเร่ร่อนเพื่อปลดแอกอำนาจของออตโตมัน
กิจกรรมในทะเลทรายมีทั้งการนั่งรถกระบะเปิดประทุนสัมผัสกับลมทะเลทราย หรือจะทดลองขี่อูฐเลียนแบบขบวนคาราวานโบราณก็ได้เช่นกัน (แถมอากาศไม่ร้อนอย่างที่คุณคิด! อ่านข้อ 8 ประกอบ)
ทะเลทรายของจอร์แดนมีพื้นที่ครอบคลุมเกือบทั้งประเทศ และมีสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญหลายจุด นอกจากทะเลทรายวาดิรัมแล้ว ไม่ไกลจากนครหลวงอัมมาน ยังมีกลุ่มป้อมปราการกลางทะเลทราย ที่สร้างเป็นจุดแวะพักของขบวนสินค้า หรือโรงอาบน้ำโบราณในอดีตให้ศึกษาด้วย
3) ลอยคอใน Dead Sea ทะเลสาบที่เค็มที่สุดในโลก
เชื่อว่าผู้อ่าน 2Baht.com ที่เคยเรียนวิชาวิทยาศาสตร์หรือภูมิศาสตร์สมัยประถม-มัธยม คงเคยเรียนเกี่ยวกับ “ทะเลสาบเดดซี” (Dead Sea) ทะเลสาบที่เค็มที่สุดในโลก มีความเข้มข้นของเกลือสูงจนสิ่งมีชีวิตไม่สามารถอยู่อาศัยได้ (ถึงได้ชื่อว่าเดดซี) และมนุษย์สามารถไปลอยตัวในน้ำได้โดยไม่จม
แต่หลายคนอาจไม่รู้ว่า เดดซีอยู่ที่ประเทศจอร์แดนนี่เอง (ทะเลสาบเดดซีเป็นพรมแดนระหว่างอิสราเอลกับจอร์แดน) ดังนั้นถ้ามีโอกาสมาเที่ยวจอร์แดนแล้ว ก็ควรดั้นด้นมาให้ถึงเดดซีเพื่อลองลงน้ำไป “ลอยคอ” ดูว่า เออ ที่สมัยเรียนมาตอนเด็กๆ มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ
เราสรุปว่าการลอยตัวในเดดซีถือเป็นประสบการณ์ “ครั้งหนึ่งในชีวิต” ที่หาจากที่อื่นไม่ได้แล้ว (ก็มันอยู่ที่นี่ที่เดียวนี่นา)
หมายเหตุ: การลอยตัวในทะเลสาบเดดซีต้องระวังพอสมควรไม่ให้หัวเปียกน้ำ เพราะเค็มมาก ถ้าเข้าหูเข้าตาไปนี่วิ่งขึ้นฝั่งแทบไม่ทัน (เราโดนมาแล้ว!) ทะเลสาบเดดซีมีชื่อเสียงเรื่องโคลนที่มีคุณสมบัติช่วยบำรุงผิวหนัง-ร่างกาย และมีรีสอร์ท-สปามากมายตั้งอยู่รอบทะเลสาบเพื่อบริการนักท่องเที่ยว
4) ตามรอยโมเสส (Moses) และตำนานในคัมภีร์ไบเบิล
จอร์แดนเป็นประเทศอารยธรรมเก่าแก่หลายพันปี และดินแดนแถบนี้ในอดีตเป็นที่อยู่ของชาวยิว ซึ่งตำนานของชาวยิวและชาวคริสต์จากพระคัมภีร์ไบเบิลก็มีหลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศจอร์แดนด้วย (แม้จะไม่เยอะเท่าอิสราเอลที่เป็นนครศักดิ์สิทธิ์ของทั้งชาวยิวและชาวคริสต์ก็ตาม)
ใครที่เคยศึกษาคัมภีร์ไบเบิลมา ไม่ว่าจะนับถือศาสนาคริสต์ เคยเรียนโรงเรียนคริสต์ หรือสนใจศึกษาประวัติศาสตร์ด้วยตัวเอง ถ้ามาถึงจอร์แดนแล้วก็ไม่ควรพลาดการมาเยือนภูเขาเนโบ ที่ซึ่ง “ว่ากันว่า” เป็นจุดที่โมเสส (Moses) ผู้นำชาวยิวที่แหวกทะเลแดงหนีชาวอียิปต์ตามตำนานพระคัมภีร์เก่า เดินทางมาเสียชีวิตที่นี่
ถ้ายังไม่พอใจแค่ตำนานของโมเสส ที่ริมแม่น้ำจอร์แดน พรมแดนระหว่างจอร์แดนกับอิสราเอล ยังมีจุดที่ว่ากันว่าพระเยซูมาทำพิธีล้างบาป (Baptism) โดย John the Baptist ตามที่เล่าขานในพระคัมภีร์ไบเบิลด้วย (จุดล้างชำระอยู่ในฝั่งจอร์แดน)
5) สารพัดอารยธรรมโบราณ: ยิว กรีก โรมัน อาหรับ อิสลาม ออตโตมัน
ดินแดนของจอร์แดนถูกปกครองโดยจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่มาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นชาวยิวในแถบอิสราเอล อิทธิพลของกรีก-โรมัน รวมถึงจักรวรรดิมุสลิมหลายเผ่าพันธุ์ตั้งแต่อาหรับ อียิปต์ ออตโตมัน (แถมยังอยู่ภายใต้อิทธิพลชาวมองโกลอยู่ช่วงหนึ่งด้วย) ทำให้ประเทศจอร์แดนเต็มไปด้วยซากอารยธรรมโบราณจำนวนมาก และหลายแห่งยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์อย่างไม่น่าเชื่อ
ตัวอย่างแหล่งท่องเที่ยวเชิงอารยธรรมที่ไม่ควรพลาดคือ เจอราซ (Jerash) เมืองโบราณตั้งแต่ยุคโรมัน ที่เต็มไปด้วยเสาหิน สนามประลอง มหาวิหารตามแบบฉบับโรมัน ที่หลายคนอาจคิดว่ามีแค่ในกรีซหรืออิตาลีเท่านั้น เจอราซได้ชื่อว่า “เมืองพันเสา” และจากประสบการณ์ที่เราไปเยือนก็พบว่าเต็มไปด้วยเสาหินโรมันมากมายนับไม่ถ้วน
ซากอารยธรรมเหล่านี้มีให้เยี่ยมชมทั่วทั้งประเทศจอร์แดน และถ้ามีเวลาไม่เยอะนัก การเยี่ยมชม ป้อมปราการดั้งเดิมในเมืองหลวงอัมมาน (Amman Citadel) ที่เกิดจากการสร้างวิหารและปราสาททับซ้อนกันบนเทือกเขาที่เป็นจุดกำเนิดของกรุงอัมมาน ก็เป็นสิ่งที่น่าประทับใจ เพราะมีทั้งซากเสาหินแบบโรม และมัสยิดของอิสลามอยู่บริเวณเดียวกัน
6) ล่องทะเลแดง (Red Sea) จุดแบ่งเอเชียกับแอฟริกา
จอร์แดนเป็นประเทศที่มีทางออกทะเลทางตอนใต้ โดยอยู่ติดกับ “ทะเลแดง” (Red Sea) ที่แบ่งแยกทวีปเอเชียและแอฟริกาออกจากกัน
เมืองท่าสำคัญของจอร์แดนคือเมืองอัคคาบา (Aqaba) ทางตอนใต้ของประเทศ ทะเลแถบนี้เป็นจุดที่ดินแดนของ 4 ประเทศมาบรรจบกัน นั่นคือ อียิปต์ อิสราเอล จอร์แดน และซาอุดิอาระเบีย
ถึงแม้คนไทยอาจรู้สึกเฉยๆ กับการเที่ยวทะเลเพราะบ้านเรามีเยอะแล้ว แต่การนั่งเรือเที่ยวชมอ่าวอัคคาบา ดูวิวทิวทัศน์ของ 4 ประเทศที่อยู่รอบอ่าวห่างกันไม่ไกล รวมถึงดูแนวปะการังและซากเรือล่มในอดีตผ่านเรือท้องกระจก ก็เป็นประสบการณ์แปลกใหม่พอสมควรสำหรับการเที่ยวแถบตะวันออกกลาง
สำหรับคนชอบดำน้ำ ทะเลแดงก็มีชื่อเสียงเรื่องนี้จากน้ำใสสีคราม มีจุดให้ดำน้ำหลายจุดรวมถึงอัคคาบาด้วย
7) ประเทศสงบ ปลอดภัย ไม่มีสงคราม
ผู้ที่ติดตามข่าวสารต่างประเทศอาจหวั่นใจกับการเดินทางไปเที่ยวตะวันออกกลาง เพราะเต็มไปด้วยการก่อการร้าย การปฏิวัติ การเดินขบวน และสงครามกลางเมือง จนรู้สึกว่าอาจไม่ปลอดภัยถ้าต้องเดินทางไปเยือนประเทศแถบนี้
แต่ “จอร์แดน” กลับเป็นประเทศที่สงบสันติอย่างไม่น่าเชื่อ ในอดีตจอร์แดนเคยทำสงครามกับอิสราเอล แต่เจรจาสันติภาพกันแล้วตั้งแต่ปี 1994 จนกลายเป็นมิตรที่ดีต่อกัน ส่วนเหตุการณ์ประท้วง อาหรับสปริง (Arab Spring) ก็แทบไม่กระทบจอร์แดนเลย แม้จะมีเหตุการณ์ประท้วงและสงครามกลางเมืองในประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งอียิปต์และซีเรีย แต่สถานการณ์ในจอร์แดนมีการประท้วงเล็กน้อย และกลับคืนสู่ความสงบอย่างรวดเร็ว
ส่วนกลุ่มก่อการร้าย IS มีพื้นที่ปฏิบัติการในอิรักและซีเรีย ซึ่งอยู่ติดกับจอร์แดน แต่ก็ไม่ได้ข้ามพรมแดนมา และเจอปฏิบัติการตอบโต้จากกองทัพจอร์แดน ที่นำโดยกษัตริย์อับดุลลาห์ที่สอง (Abdullah II) ที่เป็นผู้นำทัพด้วยพระองค์เอง (พระองค์เป็นทหารอาชีพ จบโรงเรียนนายร้อยแซนด์เฮิร์สต์ และเคยบรรจุเป็นทหารในกองทัพอังกฤษ) แถมปฏิบัติการเหล่านี้ก็เกิดในพื้นที่นอกประเทศจอร์แดนทั้งหมด
ภาพกษัตริย์อับดุลลาห์ตรวจกองทหาร (จาก Instagram ของราชวงศ์จอร์แดน)
เราไปเที่ยวจอร์แดนช่วงเดือนพฤศจิกายน 2014 หลังจากเหตุการณ์ IS บุกยึดบางส่วนของอิรักและซีเรียแล้ว แต่สถานการณ์ในประเทศจอร์แดนยังสงบเป็นปกติ (อย่างไรก็ตาม เพื่อความปลอดภัยควรเช็คสถานการณ์ล่าสุดอย่างละเอียดเสมอ)
8) อากาศทะเลทรายไม่ร้อนอย่างที่คิด (แถมออกจะหนาวด้วยซ้ำ)
ถึงแม้ว่าจอร์แดนเป็นประเทศทะเลทราย แต่เอาเข้าจริงๆ แล้วสภาพอากาศในจอร์แดนก็ไม่ร้อนอย่างที่คิดกัน (ตอนแรกเราก็เข้าใจผิดเรื่องนี้ คิดว่าไปเที่ยวทะเลทรายคงเหงื่อแตกแน่ๆ แต่เข้าใจผิดอย่างสิ้นเชิง) อุณหภูมิสูงสุดในช่วงหน้าร้อนเฉลี่ยแล้วประมาณ 32-35 องศา เย็นกว่าเมืองไทยด้วยซ้ำ และถ้าไปช่วงฤดูหนาว อุณหภูมิอยู่ประมาณสิบกว่าองศาเท่านั้นเอง!
ยิ่งถ้าไปเยือนแถบทะเลทรายที่เปิดโล่ง เจอลมแรงๆ ไปก็เข้าขั้นหนาวเลยทีเดียว ไกด์ท้องถิ่นของเรายังเล่าว่าในบางปี บางจุดของประเทศยังมีหิมะตกด้วย!
ช่วงเดือนพฤศจิกายนถือเป็นเดือนที่เหมาะสมแก่การไปเที่ยวจอร์แดน เพราะเริ่มเข้าสู่ฤดูหนาวแต่อากาศยังไม่หนาวจนเกินไป อุณหภูมิอยู่ราว 10-20 องศา (พกเสื้อกันหนาวและหมวกไปด้วย) ส่วนเรื่องฝนนั้นหายากจริงๆ หนึ่งปีมีฝนตกประมาณสิบวันเท่านั้นเอง (เดือนที่ฝนตกเยอะที่สุดคือเดือนกันยายน)
9) บ้านเมืองสะอาด สวยงาม ทันสมัย
จอร์แดนเป็นประเทศแถบอาหรับที่พัฒนาตัวเองทั้งเศรษฐกิจและการเมืองไปอย่างมาก ประชากรมีรายได้เฉลี่ยสูง (แน่นอนว่ามาพร้อมกับค่าครองชีพที่แพงงงงงง…กว่าเมืองไทย) โดยรวมแล้วถือเป็นประเทศค่อนข้างสะอาด เป็นระเบียบ บ้านเมืองปลอดภัยไร้อาชญากรรม
ใครที่กังวลว่าไปแล้วจะเจอบ้านเมืองสกปรกหรือเต็มไปด้วยขอทาน (เหมือนประเทศแถบเอเชียใต้หลายแห่ง) บอกได้เลยว่าจอร์แดนไม่มีปัญหาเหล่านี้ นักท่องเที่ยวเดินทางได้อย่างสบายใจ จะมีติดขัดเล็กน้อยคือขยะประเภท “ถุงพลาสติก” ที่เห็นเยอะมากเวลานั่งรถออกไปนอกเมือง และลอยไปติดตามรั้วที่เจ้าของทุ่งปักเอาไว้
บ้านเมืองในจอร์แดนยังถูกกำหนดธีมให้ใช้สีเอิร์ธโทนแนวหินทราย ออกขาวๆ เหลืองๆ เหมือนกันทั้งหมด ดูไกลๆ แล้วเห็นเป็นทิวทัศน์สวยงาม
จอร์แดนมีทั้งโซนอารยธรรมเก่าแก่ ไปจนถึงบ้านเศรษฐีทันสมัยเต็มไปด้วยรถสปอร์ตราวกับฮอลลีวู้ด สำหรับคนที่อยากเดินห้างสมัยใหม่ก็มีห้างขนาดใหญ่อย่าง City Mall และ Carrefour ให้เดินซื้อของแบบติดแอร์ด้วย ตามท้องถนนสายหลักในกรุงอัมมานเต็มไปด้วยโชว์รูมขายรถยนต์หรู สินค้าแบรนด์เนมหรู มีป้ายโฆษณาโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ล่าสุดแปะกันเต็มเมือง
10) อาหารอร่อยจริงเรื่องปิ้งย่าง
แน่นอนว่าจอร์แดนเป็นประเทศที่นับถือศาสนาอิสลาม อาหารย่อมไม่มีส่วนผสมของเนื้อหมู แต่ในความคิดของเราแล้วคิดว่า อาหารจอร์แดนก็ไม่ได้กินยากอะไรสำหรับคนไทยทั่วไป อาหารส่วนใหญ่เป็นเนื้อสัตว์อย่างไก่ วัว และแกะ (ไม่มีปลาสักเท่าไร) บวกกับแป้งสารพัดชนิด และผักบางประเภท (ผักใบเขียวไม่ค่อยมี แต่มะเขือเทศประเทศนี้อร่อยมาก) การกินจะกินกับซอสครีมแนวโยเกิร์ตที่มีให้เลือกหลายแบบ
ถ้าใครเคยกินอาหารเลบานอนที่มีให้กินเยอะพอสมควรในบ้านเรา อาหารจอร์แดนจะคล้ายๆ กัน
อาหารเด่นของจอร์แดนคือเนื้อสัตว์ปิ้งย่าง มีให้เลือกมากมายหลายรูปแบบทั้งไก่ วัว แกะ บาร์บีคิว ใครชอบกินอาหารแนวนี้รับรองไม่ผิดหวัง (อย่าลืมติดน้ำจิ้มแจ่วจากเมืองไทยไปด้วย)
ทั้งหมดนี้คือ 10 เหตุผลที่คุณควรไปเที่ยวประเทศจอร์แดน จะเห็นว่าจอร์แดนมีสถานที่ท่องเที่ยวแปลกตามากมาย สถานที่หลายแห่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับโลก (เช่น เพตรา เจอราซ เดดซี) และสามารถท่องเที่ยวได้อย่างปลอดภัย ไม่มีปัญหาอย่างที่หลายคนคิด ไม่ว่าจะเป็นด้านสภาพอากาศ ความปลอดภัย อาหารการกิน
อ่านจบแล้วคุณเริ่มคิดอยากไปเที่ยวจอร์แดนกันบ้างหรือยัง?
ถ้าชอบบทความและเว็บไซต์ของเรา แนะนำให้กดไลค์เพจ 2Baht เพื่อติดตามข่าวสารและบทความการท่องเที่ยวอื่นๆ ในอนาคต