เที่ยวจอร์แดนตอนนี้ เราจะพามาเที่ยวเมืองทางใต้ของประเทศจอร์แดน และเป็นเมืองเดียวของจอร์แดนที่ติดทะเลด้วยซ้ำ เมืองนี้คือ “อัคคาบา” (Aqaba) (บางคนสะกด อคาบา แต่ฟังเสียงคนท้องถิ่นน่าจะออกว่า “อั้ค” มากกว่า) เมืองท่าทางตอนใต้ที่ติดกับทะเลแดงช่วงอ่าวอัคคาบา (Gulf of Aqaba)
จากแผนที่น่าจะเห็นว่าจอร์แดนมีจุดที่ติดทะเลอยู่นิดเดียว (นิดเดียวจริงๆ) เมื่อการขนส่งทางทะเลเป็นสิ่งสำคัญต่อความมั่นคงและเศรษฐกิจภายในประเทศ ทำให้อัคคาบาเป็นเมืองท่าสำคัญของจอร์แดนมาช้านาน (เพราะมีเมืองท่ากับเขาอยู่เมืองเดียวนั่นเอง)
ส่วนในแง่ของการท่องเที่ยวนั้น เนื่องจากเป็นเมืองที่ติดทะเลทำให้อัคคาบาเต็มไปด้วยรีสอร์ตและกีฬาทางน้ำเช่นกัน
ลองซูมแผนที่เข้ามาใกล้ๆ จะเห็นว่าพื้นที่ตรงเมืองอัคคาบา มีพรมแดน 4 ประเทศมาโผล่ใกล้ๆ กัน ได้แก่ อียิปต์ อิสราเอล จอร์แดน และซาอุดิอาระเบีย
ส่วนของอียิปต์และซาอุฯ นั้นคงไม่มีปัญหาเพราะประเทศมีทะเลตั้งกว้าง แต่เคสของจอร์แดนกับอิสราเอลมีพื้นที่ติดทะเลอยู่นิดเดียว (อิสราเอลยังมีทางออกทะเลอื่น แต่จอร์แดนไม่มีเลย) จึงต้องใช้สอยพื้นที่ตรงนี้อย่างคุ้มค่ามากที่สุด ในส่วนของจอร์แดนนั้นถึงกับต้องแลกดินแดนกับซาอุดิอาระเบียในพื้นที่อื่น เพื่อให้อัคคาบามีพื้นที่ติดทะเลเพิ่มขึ้นอีก 12 กิโลเมตร รองรับเรือขนส่งสินค้าได้มากขึ้นนั่นเอง
เมืองอัคคาบาเป็นเมืองท่าสำคัญมาช้านาน บ้างก็ว่าอายุยาวนานไปถึง 4,000 ปีก่อนคริสตกาลเลยทีเดียว เมืองอัคคาบาจึงเป็นเป้าหมายที่ผู้มีอำนาจแต่ละยุคสมัยคิดครอบครองมาโดยตลอด
สำหรับคนที่เคยดูภาพยนตร์เรื่อง Lawrence of Arabia ในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง นายทหารชาวอังกฤษ T.E. Lawrence ก็มาจับมือกับชนเผ่าท้องถิ่นเพื่อปลดแอกตัวเองจากอาณาจักรออตโตมัน (ตุรกี) โดยเริ่มลุกฮือขึ้นจากการบุกเข้าตีเมืองอัคคาบาแห่งนี้เอง (ในปี 1917)
แหล่งท่องเที่ยวในอัคคาบา
แหล่งท่องเที่ยวในอัคคาบาส่วนใหญ่เป็นแนวรีสอร์ตชายทะเล มีโรงแรมหรูๆ หลายแห่ง บางคนมาดำน้ำหรือเล่นกีฬาทางน้ำกัน
ตรงนี้คนไทยอาจเฉยๆ เพราะบ้านเรามีทะเลเยอะแล้ว แต่ทะเลแถบนี้ก็ให้อารมณ์ที่ต่างออกไปจากบ้านเราพอสมควร เพราะเป็นอ่าวแคบๆ ที่เต็มไปด้วยเทือกเขาสูงทั้งสองฝั่ง
ในทริปที่เราไปจอร์แดนก็มีโอกาสได้แวะเที่ยวอัคคาบา และล่องเรือไปตามอ่าวอัคคาบาเป็นระยะทางสั้นๆ เลยเก็บบรรยากาศมาฝากกัน
น้ำทะเลอัคคาบาออกสีเทอร์ควอยล์ น้ำสะอาดมากและไม่ค่อยมีคลื่นมากนัก.
มองไปยังฝั่งตรงข้ามจะเห็นเมืองท่าของอิสราเอลคือเมือง Eirat
ท่าเรือ ขึ้นเรือนำเที่ยวชมท้องทะเลอัคคาบากัน
เรือนำเที่ยว Aqaba เป็นเรือสองชั้นตามมาตรฐาน ชั้นล่างเป็นท้องกระจกเพื่อให้ดูปะการังใต้น้ำได้ด้วย
ท่าเรือตรงหน้าเมือง Aqaba เป็นจุดจอดเรือนำเที่ยวและเรือยอร์ชเศรษฐี แต่เขยิบลงมาอีกหน่อยจะเป็นเรือสินค้าขนาดไจแอนต์ มาจากหลายประเทศ มีทั้งจีนญี่ปุ่นฝรั่ง ขนสินค้ากันเป็นตู้คอนเทนเนอร์
เรือนำเที่ยวของเราจะแล่นเลียบชายฝั่งจอร์แดนลงใต้ไปเรื่อยๆ แล้ววกกลับมาที่เดิม
ถ้ามองไปยังฝั่งตรงข้ามเป็นเทือกเขาทั้งหมด จุดแบ่งระหว่างอิสราเอลกับอียิปต์จะอยู่ตรงตึกสูงๆ ขาวๆ ด้านซ้ายมือในภาพ
เมื่อมาถึงจุดที่ระบุก็จะมีทุ่นลอยน้ำไว้ให้เห็น ตรงนี้เป็นหน้าหาดที่เปิดให้คนจอร์แดนมาเล่นน้ำทะเลพอดี
น้ำทะเลบริเวณหาด Aqaba ไม่ค่อยลึกนัก ของที่มีให้ดูก็มีทั้งซากเรืออับปาง
รวมถึงปะการัง (ตรงนี้ต้องบอกว่าคนละแนวกับปะการังบ้านเรา ไม่ถึงกับสวยเด่นมากแต่ก็ถือเป็นของแปลกๆ ให้มาดูแก้เบื่อระหว่างนั่งเรือมากกว่า)
ถ่ายชายหาดแบบใกล้ๆ ดูเหงาๆ ชอบกล 🙂 สังเกตว่าผู้หญิงจอร์แดนที่มาเล่นน้ำก็จะต้องแต่งกายมิดชิดตามหลักศาสนาด้วย
เนื่องจากเราจะต้องทานอาหารกลางวันบนเรือด้วย พอเรือแล่นออกมาได้สักพัก พ่อหนุ่มแขกสต๊าฟบนเรือก็เตรียมปิ้งบาร์บีคิวเป็นอาหารเที่ยงให้เราเลย (แน่นอนว่ามีแต่เนื้อวัวและไก่ ไม่มีเนื้อหมู) รูปนี้ถ่ายตอนพี่แกกำลังจะจุดเตา เห็นเรามาถ่ายรูปเลยเต๊ะท่าให้หน่อย
ส่วนอาหารอื่นๆ มีเรือขนส่งอาหารแวะเอามาให้เราทีหลังแทน ทำงานกันเป็นทีม
มื้อเที่ยงบนเรือเมืองจอร์แดน อาหารก็คล้ายๆ อาหารจอร์แดนมื้ออื่นๆ ทั่วไป มีข้าว สลัดแตงกวา ปลา บาร์บีคิว และซอสเนยถั่วสารพัดชนิด (บางอันก็อร่อยมาก)
อาหารก็โอเคตามมาตรฐาน แต่เมื่อบรรยากาศดี วิวสวย ลมเย็น (ไปตอนหน้าหนาวที่ยังไม่หนาวมาก) ทำให้เป็นมื้ออาหารที่น่าประทับใจ
การล่องเรือที่ Aqaba ใช้เวลาประมาณ 1-1.5 ชั่วโมง ราคารวมอาหารแล้วอยู่ประมาณ 35 ดีนาร์ต่อคน มีให้เลือกหลายเจ้า มีแบบเป็นเรือใต้น้ำด้วย รายละเอียดลองดูในเว็บ Aqaba Boat หรือ Travel Aqaba