ความเดิมจากตอนที่แล้ว เราจะพาไปเที่ยวประเทศโครเอเชียกัน สำหรับเมืองแรกที่จะไปเยือนคือ ซาเกร็บ (Zagreb) เมืองหลวงของประเทศโครเอเชีย ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศ เกือบติดพรมแดนด้านเหนือที่ติดกับประเทศสโลวีเนีย
ตามปกติแล้วการเดินทางเข้าโครเอเชีย ถ้ามาจากเมืองไทยก็มักบินไปลงที่เมืองซาเกร็บก่อน (จะบินไปด้วยสายการบิน Austrian, Qatar, Turkish ก็แล้วแต่สะดวก) จากนั้นเดินทางจากตอนเหนือเลียบทะเลไปตอนใต้จนสุดที่เมือง Dubrovnik จากนั้นค่อยขึ้นเครื่องบินออกจาก Dubrovnik กลับไทย (หรือจะย้อนทางจากใต้ขึ้นเหนือก็ได้เช่นกัน)
สำหรับทริปของเราครั้งนี้ เนื่องจากเดินทางไปประเทศอื่นๆ รอบโครเอเชียด้วย เราจึงใช้วิธีนั่งเครื่องไปลงที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย แล้วนั่งรถลงมาจากเวียนนา ผ่านประเทศสโลวีเนียก่อน แล้วเข้าเขตโครเอเชียมาทางรถ แต่ก็ยังแวะเที่ยวเมืองซาเกร็บเป็นเมืองแรกเช่นกัน
ประวัติศาสตร์เมืองซาเกร็บ
เมืองซาเกร็บมีตัวตนมาตั้งแต่สมัยโรมัน แต่ตัวเมืองในปัจจุบันมีหลักฐานปรากฏครั้งแรกในปี 1094
เมืองซาเกร็บในอดีตมีความน่าสนใจเพราะเป็นเมืองที่ตั้งอยู่บนเนินเขาเตี้ยๆ สองลูกที่อยู่ติดกัน และมีเพียงลำธารคั่นกลาง เมืองแรกชื่อว่า “Kaptol” อยู่ทางฝั่งตะวันออก เป็นที่อยู่ของพวกนักบวช และเป็นที่ตั้งของโบสถ์ใหญ่ประจำเมืองซาเกร็บ (Zagreb Cathedral) ส่วนเมืองฝั่งตะวันตกชื่อ “Gradec” เป็นที่อยู่ของพวกชาวนาและพ่อค้า
ประชาชนในเขตเมืองเก่าทั้งสองเมืองไม่ใคร่จะถูกกันนัก แถมบางครั้งตีกันเองด้วยซ้ำ ทั้งสองเมืองแยกกันอยู่มาหลายร้อยปี ก่อนจะถูกรวมกันในปี 1851 ยุคของอุปราชแห่งโครเอเชียชื่อ “โจซิป เจลาซิค” (Josip Jelačić) ซึ่งเป็นบุคคลที่มีความสำคัญมากของเมืองซาเกร็บแห่งนี้ ท่านเจลาซิคมีบรรดาศักดิ์เป็น “บาน” (Ban) และมีบทบาทสำคัญในการนำกองทัพโครเอเชียต่อสู้กับกองทัพของฮังการี
ปัจจุบันเมืองทั้งสองถูกเรียกรวมกันว่าเป็น “เมืองบนเขา” (Upper Town หรือ Gornji Grad ในภาษาโครแอท) ส่วนเมืองใหม่ที่ขยายมาทีหลังเรียกว่า Lower Town หรือ Donji Grad ซึ่งเป็นเขตการค้าสมัยใหม่
ในประวัติศาสตร์ช่วงหลัง ซาเกร็บขยายตัวอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นเมืองศูนย์กลางการปกครองของโครเอเชียตอนเหนือ และเป็นเมืองหลวงของแคว้นโครเอเชียในยุคของยูโกสลาเวีย หลังยูโกสลาเวียล่มสลาย ซาเกร็บจึงกลายเป็นเมืองหลวงของประเทศโครเอเชียในเวลาต่อมา ปัจจุบันซาเกร็บมีประชากรในเขตตัวเมืองประมาณ 8 แสนคน ถ้ารวมเขตรอบนอกด้วยก็ประมาณ 1.1 ล้านคน ถือเป็นเมืองใหญ่ที่สุดของประเทศโครเอเชีย
สถานที่ท่องเที่ยวในซาเกร็บ
บรรยากาศของเมืองซาเกร็บนั้นแทบไม่ต่างอะไรจากเมืองอื่นๆ ในยุโรปภาคพื้นทวีป (Continental Europe) ยิ่งถ้าเดินทางมาจากแถบออสเตรีย สโลวีเนีย จะแทบไม่รู้สึกถึงความแตกต่างเลย เพราะสภาพอากาศ สถาปัตยกรรมใกล้เคียงกันมาก (ภาคใต้ของโครเอเชียที่เป็นเมืองแบบเมดิเตอร์เรเนียนยังแตกต่างกันเยอะกว่าด้วยซ้ำ)
ตรงกลางเมืองเป็นย่านการค้า มีร้านรวงต่างๆ มากมาย มีรถรางวิ่งมากมายหลายสาย
สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของซาเกร็บ กระจุกตัวกันอยู่ในเขตเมืองเก่า โดยศูนย์กลางการค้าของเมืองคือ จัตุรัส Jelačić Square ที่ตั้งชื่อเป็นเกียรติแก่โจซิป เจลาซิค และชาวเมืองก็สร้างอนุสาวรีย์เป็นเกียรติประวัติไว้ให้ในปี 1866
ตรงนี้มีเกร็ดเล็กๆ ว่าเดิมทีรูปปั้นหันกลับข้างกัน ท่านเจลาซิคหันดาบไปอีกทาง ซึ่งชี้ไปทางประเทศฮังการี แต่ในยุคคอมมิวนิสต์ รูปปั้นถูกยกออกไปเก็บไว้ที่อื่น พอพ้นยุคคอมมิวนิสต์ไป ปี 1990 ชาวเมืองนำรูปปั้นกลับมาตั้งคืน จึงหันไปอีกด้าน เพราะไม่มีเหตุจำเป็นต้องต่อกรอะไรกับฮังการีอีกแล้ว และช่วยให้ทิศทางของรูปปั้นดูสง่าขึ้นเพราะหันหน้าเข้าพื้นที่ตรงกลางของจัตุรัส
แผนที่ Jelačić Square และพื้นที่โซนใจกลางเมืองซาเกร็บ
ตัวจัตุรัสอยู่ในเขต Lower Town หรือเมืองต่ำ จริงๆ เดินขึ้นเนินเขาไปบนเมือง Upper Town ก็ไม่ยากเย็นอะไรนัก (เป็นเนินเตี้ยๆ ไม่ต้องปีนป่ายอะไรมาก ทางก็ราบๆ) แต่เพื่อความตื่นเต้น เราเลยขึ้นรถราง Funicular (คนท้องถิ่นเรียก ZET) ที่เชื่อมระหว่างเมืองด้านล่างและเมืองด้านบน ซึ่งใช้เวลานั่งรถเพียง 55 วินาทีเท่านั้น!! (สั้นมาก!!) ค่าโดยสาร 4 คูน่า หรือประมาณ 20 บาท
รถรางแนวเฉียงขึ้นเขานี้เปิดใช้บริการในปี 1893 มีทางวิ่งยาวเพียง 66 เมตร ถือเป็นรถรางที่สั้นที่สุดสายหนึ่งของโลก (แต่ความชันก็เยอะทีเดียว เขาสูง 30 เมตร) โดยส่วนใหญ่แล้วคนนั่งจึงมีแต่ทัวริสต์เท่านั้น ถ้าตามไปเที่ยวก็แนะนำว่าให้นั่งขึ้นไปเอาสนุกๆ แล้วค่อยเดินลงอีกทางจะดีกว่า
เมื่อขึ้นไปบนเมือง Upper Town จะเป็นเนินเขาของเมือง Gradec เดิม วิวจากสถานีรถราง Penicular มองลงไปก็ตามภาพ (รางรถสั้นนิดเดียวเอง)
ถ้าเราเดินตรงไปเรื่อยๆ จากสถานีรถรางต่อไปจะเจอโบสถ์ St. Mark ซึ่งเป็นโบสถ์ที่มีชื่อเสียงอีกแห่งของเมืองซาเกร็บ โบสถ์แห่งนี้สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 13 มีขนาดไม่ใหญ่ แต่จุดเด่นคือกระเบื้องหลังคาทำเป็นโมเสก มีลวดลายเป็นตราประจำเมืองซาเกร็บ (ปราสาทสีขาวบนพื้นสีแดง) และตราสัญลักษณ์ของประเทศโครเอเชีย-สโลวีเนีย-ดัลมาเชีย อยู่ข้างกัน
ระหว่างทางเดินจากสถานีรถรางไปยังโบสถ์ St. Mark มีพิพิธภัณฑ์สมัยใหม่ของเอกชนชื่อ Museum of Broken Relationships ตั้งอยู่ด้วย พิพิธภัณฑ์แห่งนี้มีธีมว่า “อกหักแล้วไปไหน” โดยจัดแสดงสิ่งของต่างๆ ของคู่รักที่เลิกรากันในภายหลัง เพื่อแสดงให้เห็นว่าคนเคยรักกันแล้วเลิกรากันไป มีวิธีปฏิบัติต่อสิ่งของเดิมของคู่รักอย่างไร (อาจเข้าใจยากนิดนึง มันกึ่งๆ เป็นงานแสดงเชิงศิลปะด้วย พิพิธภัณฑ์นี้เคยได้รางวัล European Museum Awards ด้วยนะ) ใครสนใจและมีเวลาก็ลองดูรายละเอียดในเว็บไซต์ของพิพิธภัณฑ์ ค่าเข้าชม 30 คูนา หรือประมาณ 150 บาท
ถัดจากโบสถ์ St.Mark เมื่อเราเดินไปทางตะวันออกก็จะเจอประตูเมืองเก่า Gradec ที่ชื่อประตู Stone Gate (ภาษาถิ่นคือ Kamenita vrata) ประตูแห่งนี้มีตำนานว่าเมื่อเกิดไฟไหม้ใหญ่ในศตวรรษที่ 17 ภาพของพระแม่มารีไม่ถูกไฟไหม้ไปด้วย ชาวเมืองจึงเคารพนับถือในความศักดิ์สิทธิ์ และมาสวดอ้อนวอนกันอยู่เสมอ (จากภาพด้านล่าง รูปพระแม่มารีอยู่ในรั้วเพื่อป้องกันขโมย)
หากชาวเมืองคนใดสมหวัง ก็จะนำป้ายสลักเป็นไม้หรือหินเขียนคำว่า “Hvala” ซึ่งแปลว่า “ขอบคุณ” ในภาษาโครแอทมาติดไว้ในบริเวณนั้น จนกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังในปัจจุบัน (ใครแวะไปแถวนั้นควรระวังเรื่องการใช้เสียงด้วย เพราะคนโครเอเชียยังไปสวดขอพรกันอยู่เรื่อยๆ ตอนที่เราไปก็เจออยู่หลายคน)
เมื่อเดินออกมาจาก Stone Gate ก็จะเป็นพื้นที่ของเมือง Kaptol ที่อยู่ติดกันในฝั่งตะวันออก เมืองแถวนี้มีร้านอาหาร ตลาดสด Dolac Market ร้านค้ามากมาย
เดินไปอีกสักหน่อยเราก็จะเจอมหาวิหาร Zagreb Cathedral สัญลักษณ์ของเมืองซาเกร็บ ตั้งเด่นเป็นสง่าอย่างชัดเจน (สูง 108 เมตร ถือเป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดในโครเอเชียด้วย)
มหาวิหาร Zagreb Cathedral ถือเป็นจุดศูนย์กลางของเมืองเก่าฝั่ง Kaptol วิหารแห่งนี้สร้างครั้งแรกในศตวรรษที่ 13 และต่อเติมมาแล้วหลายครั้ง รอบโบสถ์แห่งนี้ยังมีกำแพงที่สร้างขึ้นเพื่อป้องกันศัตรู ซึ่งก็คือชาวออตโตมันที่อยู่ทางตะวันออกและส่งกองทัพมาโจมตีบ่อยๆ กำแพงนี้เรียกว่า Renaissance Wall ที่ยังอนุรักษ์มาจนถึงปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม ตัววิหารหลักเสียหายอย่างหนักจากแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในปี 1880 ชาวเมืองจึงช่วยกันก่อสร้างขึ้นมาใหม่หมดอีกครั้งด้วยสถาปัตยกรรมแบบนีโอโกธิค จนเสร็จสมบูรณ์ในปี 1906 วิหารแห่งนี้ถือเป็นวิหารแห่งชาติของโครเอเชีย มีอาร์คบิชอปประจำอยู่ และพระสันตะปาปาเบเนดิคต์ที่ 16 ก็เคยมาเยือนในปี 2011
ซาเกร็บ: ตลาดคริสต์มาสที่ดีที่สุดในยุโรปปี 2016
เราไปเยือนเมืองซาเกร็บในช่วงหลังเทศกาลคริสต์มาสพอดี (อากาศหนาวเลยแต่หิมะยังไม่ตก) คนที่เคยไปยุโรปช่วงก่อนคริสต์มาสเล็กน้อย อาจทราบกันมาบ้างว่าเมืองในยุโรปมักจัด “ตลาดคริสต์มาส” หรือ Christmas Market ในช่วงเย็นๆ เป็นต้นไป มีการออกร้านขายอาหาร ขนม เบียร์ ไวน์ต้มสด สินค้าแฮนด์เมด การแสดงและการละเล่นมากมาย (มีมากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นกับแต่ละเมือง)
อย่างวันที่ไปเยือน หน้าวิหาร Zagreb Cathedral ก็มีการแสดงวันประสูติของพระเยซูด้วย เค้าเซ็ตฉากกันจริงจังมาก มีสร้างอาคาร กองฟาง มีสแตนด์ให้นั่งดู แต่คนเยอะมากทั้งชาวเมืองและทัวริสต์ แถมฝรั่งตัวสูงกันหมด (และเอาลูกขี่คอกันด้วย) เลยดูไม่ค่อยเห็นอะไรมากนัก
บรรดาเมืองในยุโรปก็ยังแข่งขันกันเองว่า “ตลาดคริสต์มาส” ของใครเจ๋งกว่ากัน ซึ่งจากการโหวตของผู้ชมเว็บไซต์ European Best Destinations ก็ยกให้ เมืองซาเกร็บชนะเลิศเป็นอันดับหนึ่งประจำปี 2016 นั่นเอง (โหวตกันปลายปี 2015 ชื่อรางวัลเป็นของปี 2016) แน่นอนว่าซาเกร็บไม่ได้มีตลาดคริสต์มาสเพียงแห่งเดียว แต่กระจายตัวกันอยู่ทั่วเมืองเต็มไปหมด
จากวิหาร Zagreb Cathedral เดินลงเขามาเล็กน้อย เราก็เจอกับจัตุรัส Ban Josip Jelačić Square อีกครั้ง (เดินเป็นวงกลมพอดี)
บริเวณหน้าจัตุรัส Ban Josip Jelačić Square มีตลาดคริสต์มาสเล็กๆ กับเขาด้วยเหมือนกัน (ตรงบริเวณหน้าห้าง Muller ที่เห็นในภาพ) ตอนที่ไปหิมะยังไม่ตก แต่นั่นก็ไม่เกินความสามารถของผู้จัด สามารถเนรมิตต้นไม้ที่มีหิมะปกคลุมไว้สร้างบรรยากาศเฉลิมฉลองได้อยู่แล้ว
สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยในตลาดคริสต์มาสของประเทศแถบนี้คือ “ไวน์ต้ม” หรือบ้างก็เรียก “ไวน์ร้อน” ที่ต้มสดใส่หม้อมาวางขายในแก้วพลาสติก ชาวเมืองก็จะซื้อมานั่งจิบกันที่โต๊ะหน้าร้าน (จิบกันแบบหนาวๆ นั่นแล) กินไวน์อุ่นสู้อากาศหนาว ได้ฟิลลิ่งนักแล
แต่เท่านั้นยังไม่พอ เราสืบทราบว่าถ้าเดินเลยจากจัตุรัสลงใต้ไปอีกหน่อย มีสวนสาธารณะสำคัญของเมืองชื่อว่า Park Zrinjevac มีตลาดคริสต์มาสขนาดใหญ่พอสมควรตั้งอยู่ด้วย จึงอาศัยช่วงที่ยังพอมีเวลาเดินไปดูสักหน่อยว่าเป็นเช่นไร
เดินไปถึงแล้วก็พบว่าคนเยอะมาก แถมส่วนใหญ่เป็นคนท้องถิ่นด้วย งานแบบนี้เด็กเพียบ เพราะมีการแสดงและของเล่นล่อใจมากมาย
การออกมานั่งเสวนาสัพเพเหระ ชมไวน์ร้อน กาแฟ หรือเบียร์ คุยกันไปแบบหนาวๆ (ถ้าหนาวมากก็มีเสาที่เป็นเตาไฟคอยให้ความร้อนช่วย) ดูจะเป็นวิถีปฏิบัติของชาวซาเกร็บในช่วงคริสต์มาสนั่นเอง
ของที่ขายก็มีหลากหลาย พวกของที่ระลึกสวยๆ ธีมคริสต์มาส ของแต่งบ้าน ตุ๊กตา นี่คัดภาพมาเพียงบางส่วนเท่านั้น
สำหรับเด็กๆ ชาวซาเกร็บแล้ว สิ่งที่พลาดไม่ได้คือการแสดงต่างๆ ที่เด็ก (และพ่อแม่) ต้องไปมุงกันอย่างเนืองแน่น เราถ่ายคลิปมาด้วยสั้นๆ จะได้พอเห็นภาพว่าเป็นการแสดงแบบไหนอย่างไร
ส่วนของกินที่มาออกร้านขาย นอกจากไวน์ต้มที่มีแทบทุกร้านแล้ว ยังมี Fritule หรือแป้งทอด เป็นอาหารยอดฮิตอีกอย่างหนึ่ง ตัวเนื้อแป้งจะคล้ายปาท่องโก๋ของบ้านเรา แต่ปั้นเป็นก้อนกลมๆ แล้วราดช็อคโกแลตร้อนหรือซอสสตรอเบอรี่ มาให้ กินตอนหนาวๆ ก็เข้ากันดีเป็นอย่างยิ่ง (หวานๆ อุ่นๆ กรอบๆ) ราคาที่เราซื้อคือ 18 คูน่า หรือถ้วยละประมาณ 90 บาท
ส่วนคนที่ชอบอาหารหนัก ก็มีไส้กรอกบริการหลากหลายรสชาติ เราอ่านภาษาโครแอทไม่ออก ลองสั่งมั่วๆ มาอย่างหนึ่งก็อร่อยดี มีทั้งการกินใส่ขนมปังเป็นฮ็อตด็อก และกินเปล่าๆ ก็ได้
ไส้กรอกร้านนี้ดูแอดวานซ์ที่สุด จัดเรียงสวยงาม การปรุงไส้กรอกจะใช้การต้มในน้ำร้อน เมื่อเราสั่ง คนขายจะนำไปจุ่มในน้ำอีกรอบก่อนเสิร์ฟ ส่วนหม้อสีขาวที่เห็นนั่นคือหม้อไวน์ร้อนนั่นเอง
ในภาพรวมแล้วการเดินตลาดคริสต์มาสในซาเกร็บก็สนุกดีทีเดียว บรรยากาศดี ของขายเยอะ ชาวเมืองก็สนุกไปกับการเดินและทำกิจกรรมในตลาดแห่งนี้ ที่เจ๋งคือเดินๆ อยู่เจอซานต้าคลอสขี่ม้าสวนมาด้วย อันนี้ประทับใจ วิ่งไปถ่ายรูปแทบไม่ทัน
DoubleTree by Hilton Hotel Zagreb
เมื่อชมเมืองซาเกร็บกันพอสมควรแล้วก็ได้เวลานอน เราได้นอนที่ DoubleTree by Hilton Hotel Zagreb ซึ่งเป็นโรงแรมสี่ดาวในเครือ Hilton เพิ่งสร้างใหม่ไม่นาน ห้องพักถึงแม้จะไม่ใหญ่มากแต่ก็ทันสมัย สิ่งอำนวยความสะดวกพร้อม ห้องน้ำใหญ่พอสมควร
ถ้าใครเคยนอนโรงแรมเครือ DoubleTree คงทราบว่าเมื่อเราเข้าโรงแรม จะได้รับแจกคุกกี้คนละ 1 ชิ้น ถือเป็นเอกลักษณ์ของโรงแรม ซึ่งโรงแรมแห่งนี้ก็มีเหมือนกัน
โดยสรุปแล้ว ถึงแม้ซาเกร็บอาจไม่ใช่เมืองใหญ่ชื่อดังของทวีปยุโรป แต่เมืองหลวงของประเทศโครเอเชียแห่งนี้ก็มีเสน่ห์น่าสนใจหลายอย่าง ทั้งประวัติศาสตร์ของเมืองที่แยกเป็นสองเนินเขา และสิ่งปลูกสร้างที่สวยงาม ย่านการค้าที่คึกคัก รวมถึงตลาดคริสต์มาสที่โดดเด่นถึงขนาดได้รางวัล สำหรับคนที่เดินทางมาโครเอเชีย การมาดูเมืองหลวงซาเกร็บสักครั้งก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรละเลย
ป.ล. สำหรับผู้ที่สนใจเดินทางไปเที่ยวโครเอเชีย เราแนะนำ Croatia Center ซึ่งเป็นทัวร์ที่เราใช้บริการในทริปนี้ และน่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญเส้นทางโครเอเชียที่สุดในไทยตอนนี้