จากเหตุการณ์ เครื่องบินของสายการบิน Emirates EK521 ร่อนลงจอดแบบกระแทกพื้นที่สนามบินดูไบ ก่อนระเบิดในภายหลัง แต่ผู้โดยสารและลูกเรือ 300 คนกลับไม่มีใครบาดเจ็บเลย
เราเรียนรู้บทเรียนอะไรจากเหตุการณ์นี้?
ผู้โดยสารเครื่องบินทุกคนต้องผ่านประสบการณ์น่าเบื่อ รับชมการสาธิตความปลอดภัยทุกครั้งก่อนขึ้นเครื่อง (ซึ่งก็คงไม่มีใครตั้งใจฟังกันเท่าไรนัก)
แต่เหตุการณ์ของเที่ยวบิน EK521 ก็สอนให้เรารู้ว่าถ้าเกิดเหตุฉุกเฉินลักษณะนี้ขึ้น การรับมือกับปัญหาอย่างทันท่วงทีและมีสติ ก็สามารถรักษาชีวิตของผู้โดยสารเอาไว้ได้
กรณีของ EK521 ถือว่าผู้โดยสารโชคดีที่ยังมีเวลาหนีออกนอกเครื่องบินทัน แต่ในวิดีโอหลายๆ อันก็เห็นผู้โดยสารบางคนยังหยิบฉวยกระเป๋าสัมภาระกันวุ่นวายก่อนออกจากเครื่อง ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่งในภาวะฉุกเฉิน
คลิปที่ผู้โดยสารถ่ายไว้ขณะหลบหนีออกจาก EK521 จะเห็นว่ามีหลายคนห่วงกระเป๋า แม้แอร์จะตะโกนให้ทิ้งกระเป๋าไว้บนเครื่องก็ตาม
https://youtu.be/DRr0Z9L-8_E
ตามกฎด้านการบินของสหรัฐอเมริกา กำหนดให้สายการบินต้องเริ่มกระบวนการอพยพผู้โดยสารออกจากเครื่องให้ได้ภายใน 90 วินาทีหลังเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้น
การห่วงกระเป๋าสัมภาระ ส่งผลให้เกิดการแออัดและคอขวดของการอพยพ และเมื่อผู้โดยสารสักรายเริ่มคิดถึงสัมภาระของตัวเอง ก็จะกลายเป็นตัวจุดชนวนให้ผู้โดยสารคนอื่นๆ หันมาห่วงสัมภาระของตัวเองด้วย กระบวนการอพยพทั้งหมดจึงช้าลง และในสถานการณ์ที่เราไม่รู้ว่าเครื่องจะระเบิดเมื่อไร (ดังเช่นกรณีของ EK521) ระยะเวลาที่ช้าลงไปเพียงไม่กี่วินาที อาจเป็นตัวตัดสินชี้เป็นชี้ตายได้
การออกจากเครื่องบินแบบฉุกเฉิน ใช้วิธีให้ผู้โดยสารนั่งสไลเดอร์ออกจากตัวเครื่อง เพื่อให้ออกไปได้เร็วที่สุด การขนกระเป๋าติดไปด้วย (รวมถึงรองเท้าส้นสูงของสุภาพสตรี) ย่อมส่งผลให้กระบวนการสไลด์ผู้โดยสารออกจากเครื่องช้าลง
ดังนั้นในสถานการณ์ฉุกเฉิน การห่วงสัมภาระหรือกระเป๋าที่เราโยนไว้ในที่เก็บเหนือศีรษะ อาจแสดงให้เห็นว่าเราห่วงทรัพย์สินของเรามากกว่าห่วงชีวิตของผู้โดยสารคนอื่น
ที่มา – Bloomberg