คงไม่มีนักเดินทางท่านใดอยากโหลดกระเป๋าขึ้นเครื่องแล้วไปถึงปลายทาง กระเป๋าไม่เดินทางมากับเราด้วย ปัญหาเรื่องกระเป๋าหายถือเป็นปัญหาใหญ่ที่อุตสาหกรรมการบินได้รับคำร้องเรียนมากที่สุด มากกว่าปัญหาไฟลท์ดีเลย์ด้วยซ้ำ
ทางออกอย่างหนึ่งที่ช่วยได้คือการนำแท็ก RFID ที่ปล่อยคลื่นวิทยุ มาใช้ติดตามกระเป๋า ซึ่งผลการศึกษาจากบริษัท SITA ร่วมกับสมาคมธุรกิจการบินนานาชาติ (IATA) พบว่ามันเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงมาก สามารถติดตามกระเป๋าเดินทางได้ถึง 99% และลดปัญหากระเป๋าเดินทางผิดพลาดลงได้ 50% นับจากปี 2007 เป็นต้นมา
ที่ผ่านมา สายการบินใช้วิธีพิมพ์ “บาร์โค้ด” ลงกระดาษแล้วติดไปกับกระเป๋า เพื่อให้เจ้าหน้าที่จัดการกระเป๋าสแกนบาร์โค้ดด้วยเครื่องสแกนแบบพกพา เพื่อตรวจสอบว่ากระเป๋าใบนั้นจะเดินทางไปที่ไหน ซึ่งยังมีโอกาสผิดพลาดโดยมนุษย์ (human error) อยู่บ้าง
แต่เมื่อโลกเข้าสู่ยุคของ RFID ที่เครื่องสแกนสามารถตรวจสอบข้อมูลกระเป๋าโดยไม่ต้องเล็ง เราจึงสามารถสร้างรางเลื่อนอัตโนมัติ 100% ที่คอยจัดการกระเป๋าได้ (หน้าตาของแท็กหรือป้ายติดกระเป๋าจะยังคล้ายๆ กับของเดิม แต่มีผังวงจร RFID ซ่อนอยู่ข้างใต้)
โฆษกของสายการบิน Delta ของสหรัฐ ซึ่งเป็นผู้นำตลาดในการใช้ RFID ให้ข้อมูลว่า ความแม่นยำของการใช้บาร์โค้ดอยู่ราว 90% ของกระเป๋าทั้งหมด ในขณะที่ RFID มีความแม่นยำสูงถึง 99.9%
ตอนนี้ Delta ติดตั้งอุปกรณ์อ่านค่า RFID ในสนามบินทั่วสหรัฐ 84 แห่งแล้ว และจะเริ่มขยายไปยังสนามบินนานาชาติในเร็วๆ นี้ นอกจากนี้ Delta ยังมีแอพมือถือ Fly Delta ที่ให้ผู้โดยสารสามารถตรวจสอบได้ว่า ปัจจุบันกระเป๋าของตัวเองอยู่ที่ไหนแล้ว
แรงจูงใจที่สายการบินจะเปลี่ยนมาใช้ระบบติดตามกระเป๋าด้วย RFID คือลดต้นทุนการติดตามกระเป๋านั่นเอง ต้นทุนการจัดการกระเป๋าหาย เฉลี่ยแล้วอยู่ที่ 20 เซนต์ต่อผู้โดยสารหนึ่งคน ส่วนต้นทุนค่า RFID อยู่ที่ 10 เซนต์ต่อคน ซึ่งในระยะยาวแล้วช่วยให้สายการบินประหยัดมากกว่าอย่างชัดเจน