หนึ่งในห้องอาหารของกรุงเทพที่ได้รับการกล่าวถึงเสมอ เมื่อพูดถึงความคุ้มค่าและบรรยากาศที่หรูหรา คือห้องอาหาร Scarlett (ชื่อเต็มๆ คือ Scarlett Wine Bar & Restaurant) ที่ตั้งอยู่ชั้น 37 ของโรงแรม Pullman Bangkok Hotel G ตรงแยกที่ตัดระหว่างถนนสีลมกับถนนเดโช
ทีมงาน 2baht.com ได้รับเชิญจากโรงแรมไปรีวิวห้องอาหารดังกล่าว โดยให้อิสระในการเขียนอย่างเต็มที่ และความเห็นทั้งหมดเป็นของทีมงานโดยตรง ต้องกราบขอบพระคุณทางโรงแรมและห้องอาหารมา ณ ที่นี้ด้วย
แนะนำโรงแรม Pullman G Bangkok และห้องอาหาร Scarlett
สำหรับคนที่อยู่อาศัยบนถนนสีลม อาจคุ้นเคยกับโรงแรม Pullman G Bangkok มาบ้าง โดยมีที่ตั้งอยู่ที่หัวมุมของสามแยกที่ตัดระหว่างถนนเดโชกับถนนสีลม ถือเป็นโรงแรมเก่าแก่แห่งหนึ่งของกรุงเทพมหานคร
โรงแรมมีความสูง 38 ชั้น แรกเริ่ม เปิดให้บริการในนาม Sofitel Bangkok Silom เมื่อปี พ.ศ. 2535 จากนั้นกลุ่ม GCP Hospitality ที่เป็นกลุ่มทุนจากฮ่องกงเข้ามาซื้อกิจการ แล้วเปลี่ยนเป็น Pullman Bangkok Hotel G เมื่อปี 2555 บริการควบคู่กับ Pullman Pattaya Hotel G จนถึงปัจจุบัน (อ้างอิง)
Pullman Bangkok Hotel G ถือเป็นโรงแรมระดับ 5 ดาว ทำเลตั้งอยู่ใจกลางสีลม เดินทางได้สะดวก อยู่ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้าช่องนนทรี เดินประมาณ 5-10 นาทีเท่านั้น
พร้อมๆ กับการเปลี่ยนแบรนด์มาใช้ Pullman ทางโรงแรมได้ปรับปรุงห้องอาหารชั้น 37 เดิม กลายมาเป็น Scarlett Wine Bar & Restaurant โดยห้องอาหารชื่อนี้ ประเทศไทยถือเป็นที่แรกที่มี ก่อนที่ Pullman จะขยายไปเปิดสาขาที่ย่าน Tsim Sha Tsui ของฮ่องกงในภายหลัง
จุดแข็งที่สุดของ Scarlett คงเป็นเรื่องของบรรยากาศและทัศนียภาพ สามารถมองเห็นกรุงเทพในยามค่ำคืนได้อย่างสวยงามจากมุมถนนสีลม มีทั้งฝั่งที่หันออกไปทางตัวเมือง (มองย้อนจากสีลมขึ้นไปสวนลุมพินี) และมุมที่หันฝั่งออกไปทางริมแม่น้ำเจ้าพระยา (โซนด้านนอก) การตกแต่งเน้นการใช้ไม้สีเข้มตัดกับสีแดง โดดเด่นเป็นพิเศษอย่างมาก
สำหรับห้องอาหาร Scarlett ไม่ได้บริหารโดยโรงแรมเอง แต่เป็นทีมงานจากบริษัท R&B Lab ซึ่งมีเชฟ Sylvain Royer เป็นเชฟบริหารทั้งเครือ และมีเชฟ Alexandre Castaldi เป็นเชฟดูแลห้องอาหารนี้โดยเฉพาะ
ห้องอาหาร Scarlett เน้นไปที่อาหารฝรั่งเศสเป็นหลัก มีอาหารหลายประเภท ที่โดดเด่นที่สุดคงเป็น ‘ชีส’ ที่มีให้เลือกหลากหลาย และมีเนื้อวัวแบบ Dry-aged ซึ่งเป็นเทคนิคในการให้น้ำระเหยออกไปจากตัวเนื้ออย่างช้าๆ ทำให้เนื้อมันและมีความเข้มข้นมากขึ้น โดยใช้ตู้พิเศษที่ซื้อมาจากเยอรมัน ก่อนนำไปย่างโดยใช้ไม้มะขามจากเชียงใหม่ ซึ่งโรงแรมบอกว่าเป็นห้องอาหารในโรงแรมแห่งแรกของกรุงเทพที่ทำเช่นนี้
จุดแข็งอีกอย่างของห้องอาหาร Scarlett อยู่ที่ไวน์ นอกจากตัวเลือกที่มีหลากหลายละลานตามาก (ทีมงานถึงกับอึ้ง) เรื่องของราคาไวน์ก็ไม่ได้สูงจากราคาจำหน่ายตามร้านทั่วไปมากด้วย
ต้องเข้าใจก่อนว่า ไวน์ตามโรงแรมทั่วไปถือเป็นเครื่องดื่มที่มีราคาสูง เพราะหนึ่งในต้นทุนที่สำคัญคือการจัดเก็บที่ต้องจัดการให้ถูกวิธี แต่ Scarlett กลับไม่ได้บวกราคาเข้าไปมาก ทำให้การดื่มไวน์ที่ Scarlett อยู่ในระดับที่สมเหตุสมผล ไม่ได้แพงมากจนผิดปกติแบบโรงแรมทั่วไป คนที่ชอบดื่มไวน์ในบรรยากาศที่ดีอาจจะชื่นชอบในจุดนี้ (ทีมงานที่ชอบดื่มไวน์ ถึงกับเอ่ยปากว่า ไม่แพง)
อนึ่ง หากใครเป็นสมาชิกของ Accor Plus (ชื่อเดิมคือ Accor Advantage Plus) สามารถรับส่วนลด 10% ที่ห้องอาหารนี้ได้ ยกเว้นค่าไวน์ครับ
รีวิวอาหารจากครัว Scarlett Wine Bar & Restaurant
เพื่อไม่ให้เสียเวลา เรามาเริ่มรีวิวอาหารจากครัวของ Scarlett กันเลยดีกว่า (ราคาที่ระบุไว้เป็นราคาตามเมนูที่ยังไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% และค่าบริการ 10%)
ครั้งนี้เราสั่งไวน์สองตัว ตัวแรกเป็นไวน์ขาวที่เป็นไวน์ประจำเดือน (Wine of the Month) สำหรับอาหารจานแรก ส่วนที่เหลือทานคู่กับ Dominus Estate Napanook 2008 (3,700++ บาท) ครับ
จานแรกเป็น Scarlett Board รวมเอาชีส 5 ชนิด และเนื้อ Cold Cut (เนื้อพวกไส้กรอก แฮม ที่ทานเย็นได้) 5 ประเภท และ Pate อีก 1 อย่าง (1,490++ บาท) โดยเราขอให้เชฟช่วยเลือกให้ มีทั้งชีสเนื้ออ่อน ชีสเนื้อแข็ง จากหลากหลายเขตให้ลองชิม ส่วนตัวแล้วอาหารจานนี้ต้องทานคู่กับไวน์และขนมปังเป็นหลัก จึงจะได้รสชาติเต็มที่
เรื่องของรสชาติ อันนี้ต้องเรียกว่าแล้วแต่ความชอบของชีสและเนื้อแต่ละชนิดด้วย โดยส่วนตัวแล้วถือว่าได้เปิดประสบการณ์ใหม่ๆ จากชีสหลายรูปแบบมาก
จานต่อมาเป็น Le Crabe Royal d’Alaska สลัดปูขนอลาสก้า มาพร้อมกับ Dijon Mustard, มายองเนส, อโวคาโด และซอสมะม่วง ประดับตกแต่งจาน ที่ตอนทานต้องเอามาคลุกกันให้หมด (580++ บาท)
จานนี้ทานคู่กับไวน์ขาวที่เป็น Wine of the Month เข้ากันได้ดี (ที่สั่งไปเป็น Sancerre ซึ่งทำจาก Sauvignon Blanc 350++ บาท) ตัวสลัดเองมีรสชาติเค็มนำแต่ถูกคุมด้วยความเปรี้ยวและหวานจากซอส Balsamic Syrup การได้มายองเนสและอโวคาโดมาเสริม ทำให้ได้มิติของความมันที่ถูกคุมด้วยความเผ็ดร้อนนิดๆ ของมัสตาร์ด ทั้งหมดมีความสดชื่นแฝงจากซอสมะม่วงครับ ถือว่าโดดเด่นมาก
จานหลักของรีวิวนี้อยู่ที่ La Cote de Boeuf น้ำหนัก 1 กิโลกรัม (2,550++ บาท) เป็นสเต็ก Prime Rib หรือเนื้อส่วนซี่โครงที่ดีที่สุด เป็นเนื้อที่มีไขมันแทรกดีที่สุด เรียกว่า marbling เวลาย่างไขมันจะละลายออกมาช้าๆ ทำให้นุ่มและชุ่มฉ่ำอย่างมาก
เนื้อสำหรับเมนูนี้คือเนื้อ Wagyu ของออสเตรเลียที่ผ่านการ Dry-aged มาแล้ว 4-6 สัปดาห์ เสิร์ฟพร้อมกับซอสสามประเภท คือ Bernaise (ทำจากไข่แดงและน้ำส้มสายชูจากไวน์ขาว), พริกไทดำ และ Blue Cheese พร้อมกับมันฝรั่งทอดที่หั่นด้วยมือ
อาหารจานนี้เข้ากันได้ดีกับไวน์ Dominus Napanook 2008 ที่เป็น Cabernet Sauvignon ได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ (ด้วยความที่เป็นปีซึ่งไม่ได้โดดเด่นเท่า 2007)
ตัวสเต็กถือว่าดีมาก เราสั่งแบบ Medium-Rare ซึ่งก็ได้ตามนั้น ตัวเนื้อมีความนุ่ม เคี้ยวไม่ยาก ให้กลิ่นไหม้จากไม้ที่ย่างได้ดี แต่ก็ไม่เยอะจนไม่รบกวนตัวเนื้อ รสชาติของเนื้อเข้มข้นไม่เค็มหรือไม่จืดมาก ส่วนตัวซอสทั้ง Blue Cheese และพริกไทดำ ถือว่าทำได้ดี ชูรสและบุคลิกของตัวสเต็กให้โดดเด่นยิ่งขึ้น แต่รู้สึกว่า Bernaise sauce ยังไม่ค่อยเข้ากับเนื้อมากนัก
คำแนะนำของเราคงเป็นว่าให้อาศัยลองซอสอย่าง Blue Cheese หรือพริกไทดำดีกว่าครับ รวมถึงพิจารณาไวน์ที่กำลังดื่มเป็นองค์ประกอบด้วย
หลังจากผ่านมาสามรายการหลัก มาปิดท้ายกันที่ของหวาน Grand Manier Souffle (250++ บาท) Souffle เป็นของหวานประเภทหนึ่งของฝรั่งเศส ทำจากไข่ มีตั้งแต่คศตวรรษที่ 18 ตอนเสิร์ฟ ต้องใส่เหล้า Grand Manier (ทำมาจากส้ม) ทั่วตัว Souffle จากนั้นจึงทำการ Flambe หรือจุดไฟเพื่อให้เกิดไฟเผาขนม ทำให้มีความร้อนและส่วนพื้นผิวไหม้เล็กน้อย เป็นการเล่นกับรสสัมผัส (texture) และในบางกรณีก็มีผลถึงรสชาติด้วย
ในกรณีนี้ Souffle ทำมาได้อร่อยอย่างมาก ไม่หวานมากจนเกินไป ส่วนเหล้าที่ใส่ก็ไม่ต้องกังวลมากกับแอลกอฮออล์ เพราะโดนไฟเผาไปหมดแล้ว แต่กลิ่นของ Grand Manier จะเด่นขึ้น ทำให้รสชาติโดยรวมของ Souffle ยังมีความขมนิดๆ ตัดผ่านความหวาน ส่วนเนื้อก็เนียนนุ่ม ออกมาลงตัวอย่างมากครับ
บทสรุปการรีวิวอาหาร ฝรั่งเศสจาก Scarlett Wine Bar & Restaurant
ในการรีวิวครั้งนี้ ทีมงานประทับใจตั้งแต่การตกแต่ง ไปจนถึงตัวเลือกและราคาของไวน์ รวมถึงอาหารที่ทำมาได้ดีเกือบทุกจาน และเข้ากับไวน์ที่เลือกออกมาได้เป็นอย่างดี เรื่องของการบริการถือว่าทำได้สมกับราคาของห้องอาหาร ยกเว้นในช่วงที่คนเยอะๆ และห้องอาหารค่อนข้างมืดตามสไตล์ฝรั่ง อาจจะต้องมีรอกันบ้าง แต่ไม่นานนัก อยู่ในระดับที่ยอมรับได้
จานที่สร้างความประทับใจได้จริงๆ เห็นจะเป็น Le Crabe Royal d’Alaska ที่สามารถขับเน้นความเป็นเอกลักษณ์ของอาหารได้เป็นอย่างดี แต่หากมาสายที่เน้นไวน์มากกว่าอาหาร เราคิดว่า Scarlett Board ที่เน้นชีสและ cold cut พื้นฐานก็ถือเป็นตัวเลือกที่ดี เพราะนอกจากเรียบง่ายแล้ว ยังเป็นการเปิดประสบการณ์เพื่อลองชีสและอาหารแบบใหม่ๆ เพิ่มเติมอีกด้วย
เรื่องของราคาอาหาร ต้องถือว่าอยู่ในระดับราคาที่สูงมาก เกาะกลุ่มร้านอาหารชั้นแนวหน้า (upscale resturants) ของกรุงเทพเลย จุดที่แตกต่างของ Scarlett จึงอยู่ที่ราคาไวน์ที่ไม่ได้บวกเพิ่มมาก ต่างกับห้องอาหารระดับนี้ที่มักจะบวกราคาเพิ่มจนน่าตกใจ ถือเป็นเสน่ห์ของห้องอาหารนี้ ยิ่งถ้าใครชอบทานไวน์ด้วย ถือเป็นจุดตัดสินใจสำคัญโดยง่ายครับ
ขอขอบคุณทางห้องอาหาร Scarlett Wine Bar & Restaurant และโรงแรม Pullman Bangkok Hotel G ด้วยสำหรับการรีวิวครั้งนี้ครับ
โปรโมชั่น
- สมาชิกบัตร Accor Plus รับส่วนลด 10% ยกเว้นค่าไวน์
ข้อมูลและรายละเอียดการเดินทาง
- เวลาเปิดให้บริการ : 18.00 น. – 01.00 น. ทุกวัน
- หมายเลขโทรศัพท์ : 0-2238-1991
- อีเมล : scarlettbkk@randblab.com
- เว็บไซต์ : www.randblab.com/scarlett.html, Facebook
- การเดินทาง : รถไฟฟ้า BTS สถานีช่องนนทรี ใช้ทางออกหมายเลข 3 จากนั้นเดินไปทางถนนสีลม ข้ามถนนแล้วเลี้ยวซ้าย ใช้เวลาประมาณ 5-10 นาทีครับ