มีเวลาว่าง 1 วันเต็มในซานฟรานซิสโกทำอะไรดี ในเมืองก็ไปเที่ยวหมดแล้ว บริษัทไฮเทคแถบ Bay Area ก็ไปหมดแล้ว มีอะไรให้เที่ยวอีกบ้าง?
1-Day Trip นอกเมืองซานฟรานซิสโก ไปไหนดี?
ต้องบอกว่าเอาเข้าจริงแล้ว แถบเมืองซานฟรานซิสโกก็ไม่มีอะไรให้เที่ยวมากนัก เพราะเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยซะมากกว่า สถานที่ท่องเที่ยวเจ๋งๆ อย่างอุทยาน Yosemite ก็ต้องออกนอกเมืองไปอีกไกลพอสมควร และควรนอนค้างสัก 1 คืนเพื่อไม่ให้เหนื่อยจนเกินไป
แต่ถ้าข้อจำกัดคือมีเวลาว่าง 1 วัน เที่ยวแบบไม่ค้างคืน เท่าที่ค้นคว้าข้อมูลมา ทริปยอดนิยมมีให้เลือก 3 ทริปคือ
- Napa Valley เที่ยวไร่ไวน์ทางตอนเหนือ ข้ามสะพานโกลเด้นเกตขึ้นไปอีก ชิมไวน์ ดูไร่องุ่น
- Miur Woods ดูต้นไม้ยักษ์ (ต้น redwood) แต่เนื่องจากอยู่ไม่ไกลมาก จึงมักเป็นทริปครึ่งวัน หรือพ่วงกับการชมเกาะ Alcatraz
- Monterey Bay ลงใต้ เลียบทะเล ไปชมหาดทรายที่เมือง Monterey
เนื่องจากเราเคยไปไร่ไวน์ในฝรั่งเศสมาแล้ว คิดว่า Napa ก็คงไม่ต่างกันมาก ส่วน Miur Woods ก็คิดว่าไม่ค่อยมีอะไร จึงตัดสินใจว่าจะไป Monterey Bay กัน
Monterey เป็นเมืองที่อยู่ทางใต้ของซานฟรานซิสโก ห่างลงมาประมาณ 200 กิโลเมตร ตั้งอยู่บนแหลม Monterey Peninsula โดยบนแหลมนี้มีเมือง Monterey, เมือง Carmel-by-the-sea และย่านสนามกอล์ฟชื่อ Pebble Beach จึงมักถูกรวมอยู่ในทริปเดียวกันเลย เพราะอยู่ติดกันหมด
หากซูมดูใกล้ๆ ในแหลม Monterey Peninsula จะเห็นว่าเมือง Monterey ตั้งอยู่ด้านบนของแหลม ส่วนเมือง Carmel-by-the-Sea อยู่ทางตอนใต้ และสนามกอล์ฟ Pebble Beach หรือโซนที่เรียกว่า 17-mile Drive อยู่ทางฝั่งตะวันตก การเดินทางในทริปก็จะตามถนนจากบนลงล่าง ตามที่ลากเส้นไว้ในภาพ
ซื้อทัวร์ไป Monterey Bay บริษัทไหนดี
สำหรับทัวริสต์ต่างชาติที่ไม่ได้เช่ารถ การเดินทางไป Monterey เองถือว่ายุ่งยากมาก ถ้าไม่คิดอะไรมาก ซื้อทัวร์แบบ 1-day trip ไปเลยดีกว่า จ่ายทีเดียวจบ มีทั้งรถและไกด์บริการเสร็จสรรพ คำถามถัดมาคือซื้อทัวร์ของบริษัทไหนดี
หากเราค้นหาคำว่า ‘Monterey Bay Trip’ ทัวร์แรกๆ ที่มักเจอก่อนคือ ทัวร์ของบริษัท Gray Line ซึ่งเป็นบริษัททัวร์ยักษ์ใหญ่ของสหรัฐ มีชื่อเสียงโด่งดังน่าเชื่อถือ แต่เนื่องจากทริปนี้ตัดสินใจค่อนข้างกระชั้น ทัวร์ของ Gray Line ไป Monterey Bay เต็มหมดแล้ว จึงต้องหาทางเลือกอื่นแทน ซึ่งทัวร์ของบริษัทอื่นที่ค้นเจอคือ
กรณีของ Tours4fun และ TakeTours เป็นเหมือนเว็บพอร์ทัลที่ขายทัวร์รวมๆ ให้ tour operator ท้องถิ่นมาให้บริการแทน หาข้อมูลดูแล้วก็ไม่พบว่าเป็นเจ้าไหน แถมราคาก็ดูค่อนข้างถูกกว่าของ Gray Line (ประมาณ 68 เหรียญ) พอไปเช็คดูใน TripAdvisor ก็พบว่า feedback ไม่ค่อยดีนักทั้งสองเจ้า จากประเด็นว่ามีคนจีนเยอะ เน้นจัดเอาใจคนจีน และคุณภาพโรงแรม-อาหารไม่ค่อยดีนัก โดยเฉพาะทัวร์ที่ต้องค้างคืน
เคสของเราไม่ต้องค้างคืนและหาอาหารกินเองได้ จึงไม่เป็นปัญหานัก แต่เห็นชื่อเสียงแล้วก็เสียวๆ เลยตัดสินใจเลือก Extranomical ที่เป็นบริษัททัวร์ท้องถิ่นของซานฟรานซิสโก น่าจะปลอดภัยกว่า แพงกว่าสักหน่อย (94 ดอลลาร์) ก็น่าจะดีกว่า ซึ่งผลสุดท้ายก็ถือว่าค่อนข้างดี ประทับใจกับทัวร์นี้
เมื่อตัดสินใจได้แล้วก็ซื้อทัวร์จากหน้าเว็บของ Extranomical ได้เลย จ่ายเงินด้วยบัตรเครดิต และจะได้รับอีเมลจากบริษัทเพื่อยืนยันว่าเราซื้อทัวร์จริงๆ เราก็อีเมลตอบเขาไปเพื่อยืนยันให้เขามารับที่โรงแรม
ออกเดินทาง
ถ้าเรานอนอยู่ในโรงแรมใหญ่ๆ กลางเมืองซานฟรานซิสโก ทัวร์เหล่านี้จะมารับที่หน้าโรงแรมเลย ซึ่งกรณีของเรานอน Hilton Union Square ก็เป็นโรงแรมใหญ่ที่อยู่ในลิสต์ของทัวร์อยู่แล้ว (ถ้าอยู่นอกโซนลองอีเมลคุยกับทัวร์ดูครับว่าทำอย่างไร) ทัวร์นัดมารับเวลา 8.20 ที่ทางเข้าด้านข้างของ Hilton เพื่อให้จอดรถรับเราได้
พอเลยเวลาไปนิดหน่อยก็มีรถตู้ขนาดใหญ่ เพดานสูง แปะสัญลักษณ์ Extranomical มาจอดรับเรา รถนั่งได้ประมาณสิบกว่าคน แต่ทัวร์เรามีลูกทัวร์ 7 คน (ที่เหลือเป็นอเมริกันหมดเลยที่มาจากเมืองอื่น)
เราไปทัวร์ครั้งนี้ในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ 2019 อากาศช่วงกลางวันประมาณ 10 องศา ก็ต้องเตรียมอุปกรณ์กันหนาวไปตามสมควร เตรียมน้ำดื่มและของกินรองท้องไปสักนิดหน่อยด้วย ค่าทัวร์ไม่รวมอาหารมาด้วย แต่แวะจอดให้เรื่อยๆ อยู่แล้ว
ไกด์และคนขับรถของเราคือว่า Doug เป็นฝรั่งผู้ชายมีอายุหน่อย ผมยาวมัดผม และพูดเก่งมาก นับตั้งแต่ขึ้นรถไปจนถึงส่งเรากลับโรงแรม พี่แกพูดแทบไม่หยุดเลย (พูดคนเดียวก็ได้อีก!) และมี service mind ค่อนข้างดี ตรงนี้คงขึ้นกับโชคด้วยว่าจะได้ไกด์คนไหน (Doug ก็เล่าว่าเขารับงานหลายบริษัท สลับๆ กันไป) แต่ถือว่าโชคดีที่ได้ไกด์คนนี้
เส้นทางการเดินทางในช่วงแรกคือนั่งรถจากซานฟรานซิสโกลงใต้ไป เป็นเส้นทางเลียบทะเลลงไปเรื่อยๆ ซึ่งสามารถขับจากซานฟรานซิสโกไปถึง LA ได้เลย เส้นทางช่วงที่อยู่ใต้ Monterey ลงไปถึง LA เรียกกันว่า Big Sur ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องทิวทัศน์สวยงาม แต่ทริปของเรามีเวลาแค่วันเดียวก็ไปได้แค่ถึง Monterey เท่านั้น
จุดแรกที่ผ่านคือ Half-Moon Bay ซึ่งเป็นอ่าวรูปโค้งเหมือนพระจันทร์ ตรงนี้ไม่ได้แวะ แต่มีจุดเล่นกระดานโต้คลื่นชื่อดังคือ Mavericks Beach ซึ่งก็เป็นที่มาของชื่อโค้ดเนม MacOS Mavericks นี่ล่ะ
นั่งไปประมาณหนึ่งชั่วโมง จะมีแวะเข้าห้องน้ำที่เมืองเล็กๆ (เล็กจริงๆ) ชื่อ Davenport ซึ่งมีบ้านอยู่แค่หลักไม่กี่สิบหลังคาเรือนเท่านั้น จุดแวะเป็นโรงแรม-ร้านอาหารชื่อ Davenport Roadhouse ก็อุดหนุนชา-กาแฟเขากันสักหน่อย
ถัดจาก Davenport เราจะผ่านอีกเมืองที่ค่อนข้างใหญ่คือ Santa Cruz ซึ่งไม่ได้แวะ เลยจาก Santa Cruz ไปจะเริ่มเข้าเขต Monterey Bay แล้ว อ่าว Monterey Bay จะโค้งๆ หน่อย สามารถมองเห็นเมือง Monterey Bay ที่อยู่บนแหลมได้ชัดเจน ถนนแถวนี้เป็นย่านเกษตรกรรม มีการปลูกพืชผักหลายอย่าง เช่น แอนตี้โชค ข้าวโพด ฯลฯ
Monterey
เมือง Monterey เดิมทีเป็นแหล่งผลิตปลากระป๋อง (ปลาซาร์ดีน) รายใหญ่ของสหรัฐ มีคนเข้ามาตั้งถิ่นฐานกันเยอะเพื่อหาเงินจากโรงงานปลากระป๋อง แต่พอสิ่งแวดล้อมเสีย ตลาดปลากระป๋องตกต่ำ เมืองก็ซบเซา ก่อนจะพัฒนาตัวเองมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวแทน
สถานที่ริมทะเลหลายจุดก็ใช้โรงงานปลากระป๋องเก่านี่ล่ะ มาดัดแปลงเป็นร้านอาหาร โรงแรม ร้านค้า เพื่อให้คงบรรยากาศแบบเดิมๆ ไว้ (ถนนสายหลักของเมืองก็ใช้ชื่อว่า Cannery Row)
ปกติแล้ว ทัวร์จะแวะที่ Monterey ประมาณ 2 ชั่วโมง เพราะที่เมือง Monterey มีพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ Monterey Bay Aquarium ที่ค่อนข้างใหญ่และมีชื่อเสียงด้วย และลูกทัวร์บางคนอาจเลือกเข้า Aquarium ได้ (จะซื้อตั๋วรวมมาแต่แรก หรือจะมาซื้อตั๋วเองก็ได้ ประมาณ 50 ดอลลาร์) แต่ไกด์อยากพาไปเที่ยวเยอะๆ เลยขอลดเวลาอยู่ที่นี่แค่ 1.5 ชั่วโมง
เผอิญว่าชีวิตนี้เข้า Aquarium มาเยอะแล้ว ก็เลยเฉยๆ กับ Aquarium และเลือกที่จะเดินเล่นริมทะเลแทนดีกว่า เราต้องกินอาหารกลางวันที่นี่ โดยมีร้านให้เลือกมากมาย (Bubba Gump ก็ยังมีเลย)
ร้านอาหารที่เลือกกินชื่อร้าน Fish Hopper (ร้านสีแดงๆ ในภาพข้างบน หลังรูปปั้น) อยู่ติดทะเลเลย เป็นหนึ่งในร้านที่ไกด์แนะนำ ขายอาหารทะเล ราคาจานละประมาณ 20 ดอลลาร์
จานที่พนักงานเสิร์ฟมาแนะนำเรียกว่า Cajun Mahi Mahi and Coconut Prawns เป็นปลาย่างทาเครื่องเทศแบบทางใต้ของอเมริกา (Cajun) อยู่บนเส้นอุด้งผัด (อารมณ์เหมือนกินยากิโซบะ) มีมะม่วงซอยมาให้ด้วย และมีกุ้งทอดโปะหน้ามา
หน้าตาและการจัดวางดูแกรนด์ดี แต่อุด้งค่อนข้างเค็ม ส่วนปลาก็เฉยๆ ตามสไตล์ปลาฝรั่ง
อีกจานสั่ง Fish and Chips มาลองกิน ปริมาณเยอะดี มีซอสให้สามแบบ และมียำกะหล่ำปลีม่วงมาให้ด้วย ภาพรวมถือว่าร้านนี้ใช้ได้ ไม่เทพมากแต่ก็ไม่ผิดหวัง
กินข้าวเสร็จก็แทบจะหมดเวลาที่ไกด์ให้แล้ว เดินเล่นถ่ายรูปแถวริมทะเลกันอีกหน่อย ก็ได้เวลานัดรถมารับที่บริเวณหน้า Aquarium
แถวถนนเลียบทะเลมีร้านไอศกรีมชื่อดังของแคลิฟอร์เนียคือ Ghirardelli ด้วย ใครที่ชอบกินไอติมก็คงชอบกัน แต่ไปช่วงหน้าหนาวอากาศ 10 องศา แถมกินข้าวมาหมาดๆ ก็คงขอผ่านดีกว่า
Pacific Grove
จากนั้นไกด์ก็พาขับรถดูวิวริมทะเลไปเรื่อยๆ โดยเมืองที่อยู่ติดกับ Monterey เป็นย่านชุมชนที่อยู่อาศัยเล็กๆ น่ารักชื่อว่า Pacific Grove มีจุดชมวิวหลายจุดที่เป็นหาดทราย บางจุดถ้าโชคดีก็มีสิงโตทะเล (sea lion) มานอนเล่นบนก้อนหินให้ดูกันด้วย
คนไทยอย่างเราๆ มาเห็นชายหาดฝรั่งก็คงเฉยๆ ถือว่ามาเดินเล่นเปลี่ยนบรรยากาศก็แล้วกัน
17-Mile Drive & Pebble Beach
ถัดมาเราจะเข้าโซนสนามกอล์ฟที่ชื่อว่า Pebble Beach ซึ่งมีถนนเลียบทะเลที่สวยงามขึ้นชื่อคือ 17-Mile Drive
โซนตรงนี้เป็นที่ของเอกชนที่เป็นเจ้าของสนามกอล์ฟ (มีทั้งหมด 4 สนาม และรีสอร์ท-ที่พักอีกจำนวนหนึ่ง) การเข้ามาชมต้องเสียค่าใช้ถนน (รวมอยู่ในค่าทัวร์แล้ว) ไกด์ก็พาเราเลาะริมทะเล แวะถ่ายรูปไปเรื่อยๆ
สนามกอล์ฟที่มีชื่อเสียงที่สุดคือ Pebble Beach Golf Links ซึ่งเคยจัดแข่งกอล์ฟรายการ U.S. Open หลายครั้ง (ครั้งสุดท้ายปี 2010) และในปี 2019 ก็จะวนมาจัด U.S. Open ซะด้วย
เราเลยได้มีโอกาสแวะดูรีสอร์ทกอล์ฟชื่อดังแห่งหนึ่งของโลก บรรยากาศก็หรูหราทีเดียว
ในศูนย์ Visitors Center มีนิทรรศการต่างๆ เกี่ยวกับกอล์ฟให้ดูด้วย
โซนโรงแรมและที่พัก สำหรับคนมาเล่นกอล์ฟ
มีร้านค้าไม่น้อยสำหรับคนที่มาพักในรีสอร์ท
ช่วงนี้เขาเตรียมรับ U.S. Open 2019 กันพอดี เลยมีของที่ระลึกเกี่ยวกับ U.S. Open ขายด้วย แต่ราคาก็แพงมากชนิดเห็นป้ายราคาแล้ววางทันที
Carmel-by-the-Sea
จุดสุดท้ายที่เราแวะกันคือ Carmel หรือ Carmel-by-the-Sea เป็นเมืองรีสอร์ทเล็กๆ น่ารักที่อยู่ริมทะเล ถ้าหาก Monterey เป็นเมืองทัวริสต์ ตึกทันสมัย คนพลุกพล่าน ฝั่งของ Carmel ก็ต้องบอกว่ากลับกันคือ ยังรักษาความเป็นชุมชนแบบดั้งเดิม มีบ้านเป็นหลังๆ หลังเล็กๆ เกือบทุกหลังตกแต่งด้วยดอกไม้สวยงาม (เหมือนไปเดินเมืองในยุโรปอะไรทำนองนี้มากกว่า) มีขายงานศิลปะ มีคาเฟ่ ร้านอาหารเล็กๆ
ข้อเสียเดียวของ Carmel คือรถยนต์ไม่สามารถไปจอดที่ใกล้หาดได้ จะต้องจอดด้านเหนือของเมือง แล้วเดินจากในตัวเมืองลงไปที่หาด ซึ่งเป็นเนินยาวพอสมควร (ขาลงไม่ค่อยยาก แต่ขาขึ้นก็มีเหนื่อย) ถ้าไม่รีบมากก็ค่อยๆ เดินซึมซับบรรยากาศไปได้ มีร้านเล็กๆ ให้ดูตลอดทาง
ส่วนชายหาดของ Carmel จะเป็นหาดยาวๆ ที่ไม่มีรีสอร์ทหรือร้านค้าใดๆ เลย มีแต่ทรายล้วนๆ ตามสไตล์หาดที่อนุรักษ์ไว้ค่อนข้างดี หน้าหนาวแบบนี้ก็คงยืนชมวิวได้อย่างเดียว แต่เห็นว่าช่วงหน้าร้อนแถวนี้คนก็เยอะมาก แบบเยอะจัดๆ เลยเช่นกัน
เราอยู่ใน Carmel ประมาณ 1 ชั่วโมง ซึ่งก็ค่อนข้างเย็นแล้วประมาณ 5 โมง ไกด์พาแวะไปดูโบสถ์ Carmel Mission ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์เมือง Carmel เพราะนักบวชชาวสเปนมาริเริ่มเผยแผ่ศาสนาที่นี่ราวปี 1770 แต่ก็ดูแค่หน้าโบสถ์เท่านั้น เข้าไปก็คงไม่มีอะไรมาก + ไม่มีเวลาด้วย
ขากลับเป็นการนั่งรถยิงยาวกลับไปยังเมืองซานฟรานซิสโก ซึ่งใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงกว่าๆ เพราะระยะทางไกลและการจราจรก็ติดขัดเป็นปกติ เส้นทางขากลับใช้คนละเส้นกับขามา เป็นการวิ่งลัดขึ้นไปในแผ่นดิน ไม่เลียบทะเลแล้ว เพื่อขึ้น Freeway เบอร์ 101 ทำความเร็วได้มากขึ้น (แต่แน่นอนว่ารถติดเพราะคนทำงานก็กลับบ้านในช่วงเวลานั้นพอดี) มีจอดแวะให้เข้าห้องน้ำกันนิดหน่อยแถวเมือง Gilroy
ตรงนี้ขากลับค่อนข้างนั่งรถโหดไปนิดนึง เพราะนั่งรถยิงยาวแถมไม่ค่อยมีอะไรให้ดูมากนักด้วย (มืดแล้ว) แต่สุดท้ายเราก็กลับถึงโรงแรมในซานฟรานซิสโกอย่างสวัสดิภาพตอนประมาณ 2 ทุ่มกว่า ก็หาอะไรง่ายๆ กินแถวโรงแรมแล้วค่อยขึ้นห้องนอน (อย่าลืมทิปไกด์ด้วยนะครับตอนลงรถ)
ภาพรวมของทริป Monterey / Carmel ก็ถือว่าค่อนข้างประทับใจ ถามว่ามันตื่นเต้นมากมั้ยก็คงไม่ ถือว่าออกนอกเมืองมาชมทะเลเพลินๆ แก้เบื่อ ก่อนจะกลับไปปฏิบัติภารกิจในตัวเมืองซานฟรานซิสโกในวันต่อๆ ไปครับ