2Baht.com พาเที่ยวทะเลทราย “วาดิรัม” (Wadi Rum หรือบางที่เรียก “วาดิราม” Wadi Ramm) ทะเลทรายทางตอนใต้ของประเทศจอร์แดน ที่มีจุดเด่นด้านทัศนียภาพที่งดงามของหินผาในบริเวณนั้น เรียกว่ามีภูมิทัศน์แปลกตาเป็นทะเลทรายสลับกับหุบผาขนาดใหญ่
รู้จักทะเลทรายวาดิรัม
ทะเลทรายวาดิรัมแห่งนี้มีอีกชื่อหนึ่งว่า “หุบเขาแห่งพระจันทร์” (The Valley of the Moon) วาดิรัมมีประวัติศาสตร์ยาวนาน ว่ากันว่ามีมนุษย์อยู่อาศัยมาแล้วตั้งแต่ 8,000 ปีก่อนคริสตกาล (นับถึงตอนนี้ก็ราว 1 หมื่นปี) แม้ว่าจะมีสภาพแวดล้อมแห้งแล้ง หาสิ่งมีชีวิตอยู่ได้ยากก็ตาม
ในทะเลทรายวาดิรัมมีภาพเขียนฝาหนังของมนุษย์ยุคโบราณหลายจุด แสดงให้เห็นชีวิตของคนในอดีตว่าอยู่ในแถบนี้กันอย่างไรบ้าง
วาดิรัมมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 เมื่อนายทหารชาวอังกฤษ T.E. Lawrence มาสร้างพันธมิตรกับชาวเผ่าทะเลทรายในแถบนี้ เพื่อลุกฮือขึ้นจากอำนาจการปกครองของอาณาจักรออตโตมัน (ตุรกี) โดยใช้ทะเลทรายแห่งนี้เป็นฐานบัญชาการสู้รบด้วย (เหตุการณ์ตอนนี้อยู่ในภาพยนตร์เรื่อง Lawrence of Arabia) ในทะเลทรายวาดิรัมจึงมีอนุสรณ์ระลึกถึง Lawrence อยู่หลายจุด
การเดินทาง
ปัจจุบัน ทะเลทรายวาดิรัมถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญแห่งหนึ่งของประเทศจอร์แดน อยู่ไม่ไกลนักจากเมืองอัคคาบา (Aqaba) เมืองท่าสำคัญทางตอนใต้ของประเทศ โดยมีระยะทางห่างประมาณ 60 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางจากอัคคาบาราว 1 ชั่วโมง
การเดินทางมายังทะเลทรายวาดิรัมจำเป็นต้องมาทางรถยนต์ ถ้าใครมาเที่ยวเป็นกรุ๊ป มีรถบัสรับส่งถึงที่ก็สบายหน่อย สำหรับคนที่เดินทางมาเอง ต้องตั้งต้นจากอัคคาบาหรือเพตรา มีรสบัสบริการแต่ต้องเช็คข้อมูลตารางรถกันหน่อย รายละเอียดดูได้จาก Wikitravel
จากแผนที่จะเห็นว่า Wadi Rum อยู่ค่อนข้างมาทาง Aqaba แต่ก็ไม่ไกลนักจาก Petra ดังนั้นนักท่องเที่ยวที่มาประเทศจอร์แดนจึงมักควบสามที่เลย เพราะไหนๆ ต้องลงใต้มาไกลแล้ว
สภาพภูมิศาสตร์
พื้นที่ของวาดิรัมมีขนาด 720 ตารางกิโลเมตร เต็มไปด้วยภูเขาหินทราย (sandstone) และหินแกรนิต สลับกับเนินทราย ปัจจุบันมีเผ่าเบดูอิน (Bedouin) อาศัยอยู่จำนวนหนึ่ง โดยอาชีพหลักก็คือเป็นไกด์และอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวนั่นเอง ประเทศจอร์แดนเองได้สนับสนุนการท่องเที่ยวโดยยกระดับเป็นเขต Protected Area ตั้งแต่ปี 1998 มีการควบคุมและรักษาสภาพแวดล้อมเป็นอย่างดี นักท่องเที่ยวต่างชาติจะต้องจ่ายค่าเข้าพื้นที่คนละ 2 ดินาร์ (ประมาณ 100 บาท)
โดยหลักแล้วนักท่องเที่ยวสามารถนั่งรถจี๊บหรือรถกระบะเที่ยวชมพื้นที่โดยรอบ สัมผัสบรรยากาศของทะเลทรายแห่งนี้ หรือจะทดลองขี่อูฐเพื่อเรียนรู้ชีวิตของเผ่าทะเลทรายก็ได้ นอกจากนี้สำหรับคนที่ชอบการปีนเขาและกีฬากลางแจ้ง วาดิรัมยังมีจุดปีนเขาหรือเดินเขาที่น่าสนใจอีกหลายจุด และสุดท้ายถ้าจะเอาให้สุดจริงๆ ก็สามารถลอง “ค้างคืน” นอนดูดาวกลางทะเลทรายวาดิรัมได้ เพราะมีจุดตั้งแคมป์ภาคเอกชน (campsite) บริการหลายจุด สิ่งอำนวยความสะดวกครบครันทั้งที่พัก อาหาร ห้องน้ำ
ประสบการณ์เที่ยว Wadi Rum ของจริง
ทีมงาน 2Baht มีโอกาสได้ไปทะเลทราย Wadi Rum ช่วงเดือนพฤศจิกายน 2014 ซึ่งเป็นช่วงที่เหมาะแก่การมาเที่ยวประเทศจอร์แดน เนื่องจากอากาศเริ่มหนาวแล้ว ทำให้ทะเลทรายวาดิรัมนั้นไม่ร้อนเลย ต้องใส่เสื้อหนาวเดินด้วยซ้ำ (แต่แดดแรง ควรเตรียมเครื่องกันแดดไปให้พร้อม)
การมาเที่ยววาดิรัมจะต้องเริ่มจาก Wadi Rum Visitor Center ก่อนเสมอ รถจะต้องจอดที่นี่และผ่านประตูเข้าไป ที่ศูนย์นักท่องเที่ยวแห่งนี้มีห้องน้ำ อาหาร และของที่ระลึกบริการ
เมื่อผ่านประตู Visitor Center ได้แล้วต้องเดินเข้าไปอีกเล็กน้อย เราจะเห็นเขาหินขนาดใหญ่ตั้งเด่นต้อนรับนักท่องเที่ยวอยู่ ภูเขาลูกนี้มีชื่อว่า Seven Pillars of Wisdom ตั้งตามชื่อหนังสือของ T.E. Lawrence ที่เขียนขึ้นหลังจากกลับอังกฤษไปแล้ว (บางคนแซวว่ามีเขาแค่ 5 แท่งแต่นับเป็น 7 Pillars)
พอผ่านด่านตรวจบัตรของ Visitor Center ก็จะเป็นลานทราย พร้อมรถปิกอัพจำนวนมากรอคิวรับนักท่องเที่ยวอยู่ คนขับเป็นชาวเบดูอินท้องถิ่นทั้งหมด ส่วนจะเลือกคันไหนก็แล้วแต่การเจรจาต่อรอง (ตรงนี้ ไกด์ท้องถิ่นเราเป็นคนจัดการให้ทั้งหมด)
เลือกรถได้แล้วก็ปีนขึ้นรถ (นั่งได้คันละ 4 คน) จากนั้นก็ลุยกันได้เลย (เตรียมหมวก แว่นตากันแดด กล้องถ่ายรูปให้พร้อม เพราะรถวิ่งกระเทือนพอสมควร)
รถบางคันจะมีผ้าปูเป็นหลังคาให้ด้วย (แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก) บางคันก็ไม่มี ตอนรถวิ่งตามๆ กันเป็นขบวนฝุ่นเยอะเลย
รถปิคอัพเหล่านี้จะพาเราไปชมจุดต่างๆ ภายในทะเลทราย
จุดแรกที่จะพาไปชมเป็นเต๊นต์ชาวเผ่าท้องถิ่นในซอกเขา
หน้าตาเต๊นต์เป็นแบบนี้ (รถยนต์นี่ไม่รู้มาได้ไง) เค้าจะก่ออิฐเป็นที่นั่งภายในเต๊นต์ แล้วตั้งเสา กางผ้าขนสัตว์ช่วยบังแดด บังลม บังฝุ่นได้
ชีวิตความเป็นอยู่ภายในเต๊นต์ จะมีตั้งเตาไฟไว้ตรงกลางสำหรับชงชาและทำอาหาร ในเต๊นต์มีของที่ระลึกขายจำนวนหนึ่งด้วย (ไม่ซื้อไม่เป็นไร)
มาเมืองมุสลิมก็จะเห็นชาวมุสลิมทำละหมาดเมื่อถึงเวลา ไม่เว้นแม้แต่ในทะเลทราย
จุดที่สองเป็นเต๊นต์อีกแห่งหนึ่ง มาเพื่อดูภาพเขียนฝาผนังโบราณ จุดนี่จะมีอูฐให้ลองขี่ไปยังจุดถัดไปด้วย
ภาพเขียนโบราณที่อยู่บนผาหิน แสดงสัตว์ที่คนในสมัยนั้นล่าหรือเลี้ยงอยู่
สำหรับคนที่อยากหาความแปลกใหม่ อยากขี่อูฐก็สามารถลองได้ โดยผู้ดูแลอูฐจะขี่นำเราไปยังจุดที่สาม (ใช้เวลาประมาณ 20-30 นาที) วิธีการคือผูกอูฐต่อๆ กัน ดังนั้นรับรองไม่มีแตกฝูง (จะตกอูฐหรือเปล่าอีกเรื่องนึง)
กรุ๊ปเรามีบางส่วนลองขี่อูฐลุยทะเลทรายกัน ส่วนคนอื่นๆ ที่ไม่ได้ขี่ก็สามารถนั่งรถไปรอที่จุดถัดไปได้
จุดที่สามเรียกว่า Lawrence’s Spring หรือ Lawrence’s Fountain แปลตรงตัวว่าเป็น “น้ำพุแห่งลอว์เรนซ์” เป็นบ่อน้ำที่ T.E. Lawrence เคยมาแวะพักตั้งกองบัญชาการที่นี่ มีเต๊นต์ให้พักอาศัยและเข้าห้องน้ำ
เพื่อเป็นการระลึกถึง T.E. Lawrence เลยมีการสลักหินก้อนที่อยู่ข้างหน้าช่องเขาเป็นใบหน้าของเขา (ไกด์ของเราก็เปรี้ยวปีนขึ้นไปนั่งบนหินซะเลย)
หินก้อนเดียวกัน อีกด้านเป็นรูปสลักของกษัตริย์ไฟซาล (Faisal) พันธมิตรร่วมรบของ T.E. Lawrence และเป็นผู้นำเผ่ามุสลิมแถบนี้ร่วมต่อสู้กับออตโตมัน
ขบวนอูฐที่เดินทางไปมาในบริเวณนั้น
เสร็จจากจุดที่สามก็เข้าสู่พื้นที่ชุมชน เราจะเห็นแนวต้นไม้ที่ผู้อาศัยปลูกเอาไว้ ชุมชนตรงนี้เรียกว่า Diseh
เป้าหมายของเราคือมาที่จุดตั้งแคมป์ชื่อ Rose Sand Camp เพื่อรับประทานอาหารเย็นกลางทะเลทราย
รถบัสของเราจะมาจอดรอรับที่นี่ (ตอนลงจากรถปิคอัพมาที่แคมป์จะต้องทิปคนขับรถคนละ 1 ดอลลาร์ด้วย)
จุดตั้งแคมป์นี้มีห้องน้ำบริการ มีเต๊นต์และบังกะโลให้นอนพักได้ (ถ้าอยาก) ไม่ได้เข้าไปดูข้างในแต่ดูสภาพแล้วก็น่าจะโอเคอยู่
หน้าตาเต๊นต์สำหรับรับประทานอาหารเย็น มีเจ้าหน้าที่ตำรวจท้องถิ่นนั่งสูบยากันอย่างสบายใจ
อาหารเย็นที่นี้เป็นอาหารมาตรฐานจอร์แดน บุฟเฟต์ตักได้ มีสลัดผัก ผักดอง แป้งนาน ข้าว เนื้อสัตว์ และมีบาร์บิคิวไก่ปิ้งอยู่ด้านนอกด้วย (กินบาร์บีคิวกลางทะเลทรายก็ให้บรรยากาศดี แม้จะไม่ถึงขนาดต้องผิงไฟก็ตาม)
โดยสรุปแล้ว การมาเยือนทะเลทราย Wadi Rum ถือเป็นประสบการณ์ที่น่าประทับใจ เพราะได้มาเห็นว่าทะเลทรายจริงๆ ที่เราดูกันแต่ในหนังนั้นเป็นอย่างไร แถมการเดินทางก็ไม่ลำบากอะไร นั่งรถมาจนถึงที่เลย มีแอดเวนเจอร์นั่งรถปิคอัพลุยทะเลทรายบ้างตามสมควร
ใครที่มาเที่ยวจอร์แดน ส่วนใหญ่จะมาเพตราเป็นหลักอยู่แล้ว ไหนๆ มาถึงขนาดนี้แล้ว แวะมาเที่ยววาดิรัมอีกที่หนึ่งก็ไม่เสียหลาย
รายละเอียดเพิ่มเติมดูได้จาก เว็บไซต์ Wadi Rum, Wikipedia, Wikitravel