ปกติแล้วเวลาไปเที่ยวสิงคโปร์ แล้วคิดถึงเรื่อง “อาหารยอดนิยม” คนส่วนใหญ่คงนึกถึงอาหารชื่อดังอย่าง “ข้าวมันไก่สิงคโปร์ Chicken Rice” หรือ “ปูราดพริก Chilli Crab” กันมาก และการเลือกกินคงเน้นไปที่ร้านอาหารขึ้นชื่อในด้านนั้นๆ ซะเยอะ
คนไทยที่ไปสิงคโปร์เพื่อกิน “บุฟเฟต์โรงแรม” เป็นอาหารเย็นไม่น่าจะมีเยอะนัก แต่เผอิญมีโอกาสไปประชุม แล้วเจ้าภาพพาไปเลี้ยงแบบบุฟเฟต์ที่ห้องอาหารของโรงแรม เลยได้ประสบการณ์ “บุฟเฟต์สิงคโปร์ครั้งแรก” จึงนำมาเล่าฝากกัน เผื่อมีผู้อ่านท่านใดอยากลองไปชิมบุฟเฟต์ที่สิงคโปร์กันบ้าง
ห้องอาหาร Edge Food Theatre
บุฟเฟต์ที่ว่านี้อยู่ที่โรงแรม Pan Pacific Singapore ซึ่งเคยรีวิวไปแล้ว ห้องอาหารที่ไปกินชื่อว่า Edge อยู่ที่ชั้น 3 ของโรงแรม ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องอาหารแนว “เอเชียและแปซิฟิก” ซึ่งเน้นไปที่อาหารจีน อินเดีย สิงคโปร์-มาเลเซีย ญี่ปุ่น และอาหารทะเลที่เรียกว่า Pacific Cuisine ซึ่งเป็นเมนูเด่นของทางห้องอาหาร
เท่าที่ดูจากเว็บไซต์ บุฟเฟต์มีทั้งแบบตอนเย็นตามปกติ และ กลางวันวันอาทิตย์ ซึ่งเป็นบุฟเฟต์แบบพิเศษชื่อ Sunday Champagne Brunch มีเมนูพิเศษแบบเป็ดปักกิ่งและคาเวียร์ ในราคา 118 ดอลลาร์ (3,100 บาท) แบบไม่รวมแชมเปญ ถ้าอยากกินแชมเปญไม่อั้นก็สามารถจ่ายเพิ่มได้
อันนี้ที่รีวิวนี้เป็นการกินอาหารเย็นแบบบุฟเฟต์เท่านั้น
บรรยากาศภายในห้องอาหาร
ต้องบอกว่า Edge เป็นห้องอาหารที่มีขนาดใหญ่มาก ย้ำว่า ใหญ่มาก ใหญ่กว่าโรงแรมห้าดาวในกรุงเทพหลายแห่งอย่างชัดเจน จุคนได้มากกว่า 300 คนพร้อมกัน (ตอนเช้าจึงใช้สำหรับบริการอาหารเช้าให้แขกที่มาพักด้วย) ทางโรงแรมถึงตั้งชื่อแบบอวดตัวนิดๆ ว่า Edge Food Theatre คือเป็นโรงละครแห่งอาหารมันซะเลย
วิวของห้องอาหารจะติดกระจกขนาดใหญ่ ถ้านั่งถูกตำแหน่งจะเห็นชิงช้าสวรรค์ Singapore Flyer ด้วย
ส่วนเคาเตอร์อาหารก็มีมากถึง 16 สถานี ใครที่ไปกินครั้งแรกต้องเดินแล้วเดินอีกจนกว่าจะดูครบว่ามีอาหารอะไรบ้างเลยทีเดียว
การเรียงเคาเตอร์อาหารจะเป็นหยักๆ เหมือนขั้นบันไดไปเรื่อยๆ ที่ขอบฝั่งหนึ่งของห้องอาหาร
มีเมนูอะไรให้กินบ้าง
ต้องบอกว่าอาหารที่นี่มีเยอะมาก ถ้านับจำนวนจะเยอะกว่าบุฟเฟต์โรงแรมในกรุงเทพเกือบทุกแห่งเท่าที่เคยกินมา ดังนั้นขอคัดเฉพาะเมนูเด่นๆ เท่านั้น อาหารเบสิกแบบพวกสลัด ผลไม้อะไรแบบนี้ขอข้ามไป จะได้ไม่เปลืองพื้นที่
เมนูเด่นของร้าน Edge คือซีฟู้ด ซึ่งก็มีให้เลือกหลากหลาย เริ่มจากพวกอาหารทะเลสดๆ ก่อน มีกุ้ง หอยเชลล์ ขาปู กรรเชียงปู ให้กินเยอะมาก
ข้อเสียเพียงหนึ่งเดียวคือไม่มีน้ำจิ้มซีฟู้ดแบบบ้านเรา (กินแล้วขัดใจมาก)
อาหารญี่ปุ่น พวกซูชิ ซาชิมิ ข้าวปั้น ก็มีให้กินตามมาตรฐานบุฟเฟต์โรงแรม แต่คงไม่ใช่เมนูเด่นมากนักของร้านนี้ (กินขำๆ ก็พอได้ ถ้าชอบจริงๆ ไปกินร้านญี่ปุ่นแบบเป็นเรื่องเป็นราวดีกว่า)
อาหารอินเดีย ก็มีเยอะเพราะแถวนี้คนอินเดียเยอะ เท่าที่ดูเมนูก็มีครบถ้วน เช่น ข้าว Saffron, แกงกะหรี่ทั้งแบบใส่เนื้อและผักล้วน, Tikka, แกงถั่ว Dhal และมีพวกแป้งนานหรือโรตีให้ด้วย
แต่อย่างที่บอกคืออาหารมันมีเยอะ จะให้ชิมหมดก็คงไม่ไหว เมนูชุดอินเดียนี้เลยข้ามไปไม่ได้ชิม
อาหารฝรั่ง ที่นี่ก็ยังเน้นซีฟู้ด คือพวกเนื้อย่าง สเต๊ก ซุป พิซซ่า อะไรพวกนี้มีเป็นมาตรฐานอยู่แล้ว แต่ก็มีอาหารทะเลฝรั่งให้เลือกหลายเมนู เช่น ข้าวผัดสเปน ปาเอย่า (Seafood Paella), พาสต้า มีแบบใส่หมึกดำให้เลือก
เมนูที่ไม่ค่อยเจอที่ไหนในแถบนี้คือซุปซีฟู้ดชาวเดอร์ (Seafood Chowder) ที่ต้องสั่งพิเศษ และ Salmon Wellington หรือพายไส้แซลมอน ที่หั่นสไลซ์เป็นชิ้นบางๆ มาให้เราจิ้มกินกับมัสตาร์ด
สำหรับเมนูซีฟู้ดแบบปรุงสุก มีให้เลือกถึงสองสถานี สองแบบเลย
แบบแรกที่นำเสนอคือ ซีฟู้ดกระทะร้อน (Seafood Hotplate) ที่มีให้เลือก 3 อย่างคือกุ้ง หอยแมลงภู่ และปลา
การสั่งจะต้องนำเบอร์บนโต๊ะของเราไปยื่นให้ แล้วพนักงานจะนำมาเสิร์ฟที่โต๊ะให้เอง
หน้าตาอาหารออกมาประมาณนี้ อันนี้คือเลือกอย่างละชิ้น เขาจะนำไปทอดบนกระทะร้อน คลุกกับซอสที่คล้ายน้ำพริกเผามาให้ อร่อยอยู่เหมือนกัน แต่รอนานหน่อย
สถานีซีฟู้ดอีกอันหนึ่งเป็นอาหารย่าง (Grill Kitchen) เลย มีให้เลือกหลากหลายกว่า เช่น กุ้ง ปลาแซลมอน ปลาทู และหอยเชลล์
อันนี้ชิมแล้วก็ต้องบอกว่าวัตถุดิบสดใหม่ ชิ้นใหญ่ ข้อเสียเดียวคือไม่มีน้ำจิ้มซีฟู้ดแบบเมืองไทย (ถ้ารู้ล่วงหน้าจะขนมาจากบ้านเราด้วย) ผลคือเราต้องกินอาหารทะเลย่าง จิ้มกับซอสหวานๆ หรือไม่ก็ซอสพริกศรีราชา น่าเศร้าใจเป็นที่สุด
ซุ้มอาหารอีกอย่างที่คิดว่าค่อนข้างแปลกใหม่ดีสำหรับคนไทยคือ อาหารสิงคโปร์ เมนูเด่นคือ Prawn Satay หรือกุ้งสะเต๊ะ ที่ไม่ค่อยเจอนักในบ้านเรา (นอกจากนี้ยังมีไก่สะเต๊ะ เนื้อสะเต๊ะ แกะสะเต๊ะ ให้กินด้วย)
มารอบนี้ก็ซัด Prawn Satay ไปหลายไม้อยู่ อร่อยดี ใครที่ตามไปก็ไม่ควรพลาด
อาหารสิงคโปร์เมนูอื่นที่ยอดฮิตไม่แพ้กันคือ ซีรีส์ปูทั้งหลาย มีทั้งปูราดพริก Chilli Crab อันโด่งดัง และ ปูผัดเกลือ Salt Crab ที่อร่อยมากๆ
เราพบว่า Chilli Crab มันกินยาก เปื้อนมือ กิน Salt Crab ง่ายกว่ามาก อร่อยด้วย
เมนูอีกอันที่ไม่รู้เรียกภาษาไทยว่าอะไรคือ Cereal Prawn มันคือกุ้งผัดกระเทียมเจียว (จานตรงกลางในภาพ) ที่กรอบมากๆ อร่อยเช่นกัน เมนูอื่นที่อยู่ใกล้ๆ กันคือข้าวผัดซีฟู้ด ซึ่งค่อนข้างธรรมดา กินที่เมืองไทยดีกว่า
อาหารท้องถิ่นอย่างอื่นที่มีให้รับประทาน คืออาหารสายมาเลย์-อินโดนีเซีย ต้องเคยกินอาหารพวกนี้มาบ้างถึงจะพอเก็ตว่ากินอย่างไร รสชาติประมาณไหน
อย่าง Rojak ยำผักผลไม้สไตล์มาเลย์ ก็มีซุ้มให้เชฟยำให้อยู่ข้างซุ้มสลัดเลย เครื่องครบพวกเต้าหู้ทอด ถั่วทั้งหลาย
อาหารคาวแนวๆ มาเลย์ อินโด ก็มีซุ้มแยกต่างหาก พวกเครื่องแกง Sambal ปลานึ่ง, เนื้อตุ๋น Rendang, แกงผักที่คล้ายๆ แกงส้มอะไรแบบนี้ มีครบครัน (เผอิญมีเพื่อนเป็นคนมาเลย์และอินโดนีเซียอยู่บ้าง เลยพอกินเป็นบ้าง)
ปิดท้ายด้วย ซุ้มของหวานที่ใหญ่โตโอฬารมาก มีทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นเค้ก ไอติม แพนเค้ก วัฟเฟิล มีกระทั่งพวกช็อคโกแลตแช่เย็นไว้ในตู้ ให้เราหยิบกินได้ตามสบาย
สรุปคือการมากินบุฟเฟต์ที่สิงคโปร์รอบนี้ น่าประทับใจ เพราะเมนูอาหารเยอะและหลากหลายมาก แถมยังมีเมนูท้องถิ่นที่หากินได้ยากในบ้านเราด้วย สรุปกินเสร็จ เพื่อนร่วมโต๊ะทุกคนก็หมดแรงไปนอนสลบกันหมด
ใครมาสิงคโปร์แล้วอยากลองอาหารบุฟเฟต์โรงแรม มากินที่ Edge ก็ไม่น่าจะผิดหวัง ราคาต่อหัวอาจสูงแต่เทียบกับคุณภาพและปริมาณ บวกกับค่าครองชีพของประเทศนี้ก็ถือว่าคุ้มค่า
ข้อมูลห้องอาหาร Edge
- เว็บไซต์ห้องอาหาร Edge ของโรงแรม Pan Pacific
- เว็บไซต์ห้องอาหาร Edge
- เวลาเปิด
- เที่ยง 12:00-2:30
- เย็น 6:30-10:30
- ราคาบุฟเฟต์ต่อหัว (มื้อเย็น)
- วันอาทิตย์-จันทร์ 68 ดอลลาร์สิงคโปร์
- วันอังคาร (บุฟเฟต์พิเศษ Surf & Turf) 78 ดอลลาร์สิงคโปร์
- วันพุธ-พฤหัส (บุฟเฟต์พิเศษ Hooked@Edge) 88 ดอลลาร์สิงคโปร์
- วันศุกร์-เสาร์ 78 ดอลลาร์สิงคโปร์
- มีน้ำเปล่าและซอฟต์ดริงค์บางอย่างบริการฟรี และยังไม่รวมค่าบริการ 10% และภาษี GST อีก 7%
การเดินทาง: อยู่ที่ชั้น 3 โรงแรม Pan Pacific Singapore ติดกับศูนย์ประชุม Suntec ใกล้กับสถานี MRT Promenade สามารถเดินทางได้ด้วยรถไฟใต้ดินสีเหลืองและสีน้ำเงิน