รีวิว EVA Air Premium Economy กรุงเทพ-ไต้หวัน-ซานฟรานซิสโก

ปกติแล้ว ผู้เขียนมีโอกาสต้องเดินทางไปสหรัฐอเมริกาปีละ 1-2 ครั้งเพื่อเข้าร่วมงานอีเวนต์ของบริษัทต่างๆ ซึ่งวิธีการเดินทางก็ขึ้นกับนโยบายของแต่ละบริษัทจะจัดหาให้

ที่ผ่านมาเคยเดินทางด้วยที่นั่งทั้งชั้นประหยัด (นั่งอัดๆ ข้ามแปซิฟิก!) และชั้นธุรกิจ (นอนราบ!) แต่เพิ่งมีครั้งล่าสุดที่ได้ลองที่นั่งชั้น Premium Economy ที่อยู่กึ่งกลางระหว่าง Economy และ Business คิดว่าน่าจะมีประโยชน์ต่อผู้ที่ตัดสินใจเดินทางด้วยคลาสนี้ (คุณภาพชีวิตดีกว่า Economy ในราคาที่ไม่แพงเกินไป) เลยมาเขียนรีวิวไว้สักหน่อยครับ

เส้นทางบินที่เลือกเป็นกรุงเทพ (BKK) – ซานฟรานซิสโก (SFO) โดยเดินทางในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม 2018

ตัวเลือก Premium Economy กรุงเทพ-ซานฟรานซิสโก

เท่าที่เข้าใจ สายการบินที่มีที่นั่งชั้น Premium Economy จากฝั่งเอเชีย ข้ามแปซิฟิกไปยังสหรัฐอเมริกา มีทั้งหมด 4 รายคือ Cathay Pacific (แวะฮ่องกง), EVA Air (แวะไทเป) และ Japan Airlines กับ ANA (แวะโตเกียว)

ถ้าพิจารณาจากราคาแล้ว EVA Air จะถูกกว่า Cathay อยู่เล็กน้อย (ตั๋วไปกลับประมาณหกหมื่นบาทบวกลบ ทั้งนี้ค่าตั๋วขึ้นกับช่วงเวลาเดินทางด้วย) ในขณะที่ JAL และ ANA ราคาจะกระโดดไปอีกขั้น บางทีก็แตะหลักแสนเลย แบบนั้นนั่ง Business Class ซะดีกว่านะ

เนื่องจากปกติเดินทางด้วย Cathay Pacific อยู่แล้ว รอบนี้เลยตัดสินใจลองเปลี่ยนมานั่ง EVA Air บ้าง ซึ่งราคาที่ถูกกว่านิดหน่อย (ค้นหาเทียบในช่วงเดือนสิงหาคม 2018 ได้ราคา EVA ที่ 62xxx บาท ส่วน Cathay 66xxx บาท) ย่อมทำให้ Premium Economy ของ EVA Air เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจกว่า แถม EVA Air อยู่ใน Star Alliance ด้วย เก็บไมล์ร่วมกับการบินไทยได้

EVA Air Premium Economy กรุงเทพ-ไทเป

รายละเอียดไฟลท์

  • หมายเลขไฟลท์: BR 206
  • เดินทางวันที่ 6 May 2018
  • Depart: 01:45am Bangkok (BKK)
  • Arrive: 06:35am Taipei (TPE)
  • Flight time: 2:40 hrs
  • รุ่นเครื่องบิน: B777-300ER

เมื่อเลือก EVA Air แล้วก็ต้องแวะไปเปลี่ยนเครื่องที่ไทเปก่อน ไฟลท์ที่เลือกเป็นไฟลท์กลางคืน BR206 ออกจากกรุงเทพตอนประมาณตี 1:45 และถึงไต้หวันตอนเช้ามืด (6:35) ใช้เวลาบิน 2:40 ชั่วโมง

เก้าอี้ที่นั่งของชั้น Premium Economy

ที่นั่งของ Premium Economy ในไฟลท์นี้จัดแบบ 2-4-2 มีเก้าอี้แถวละ 8 ตัว (เทียบกับ Economy ที่เป็น 3-3-3 คือ 9 ตัวก็ต่างกันเล็กน้อย) ทำให้ขนาดของเก้าอี้ในทางกว้างมีมากขึ้น นั่งสบายขึ้น แถมการจัดแบบ 2-4-2 ยังทำให้เราห่างจากทางเดินไม่เกิน 1 เก้าอี้ด้วย (แม้แถวกลางจะอัด 4 เยอะไปนิดนึง)

ภาพจาก Seat Guru

เห็นแผนผังในทางทฤษฎีกันไปแล้ว มาดูของจริงกันดีกว่าครับ ผู้เขียนได้นั่งแถวกลางและเลือกที่นั่งติดทางเดิน จากภาพจะเห็นว่าระยะ seat pitch หรือระยะห่างระหว่างแถวค่อนข้างเยอะเลยทีเดียว เหยียดขาได้สบายมาก เหลือที่ว่างอีกมากกว่าจะถึงแถวหน้า ส่วนตอนเอนเบาะก็ไม่ต้องเกรงใจคนข้างหลังมากนัก อยากเอนเท่าไรก็เอนไป

ข้อมูลในเว็บไซต์ของ EVA Air เองบอกว่าระยะ seat pitch อยู่ที่ 38 นิ้ว ส่วนความกว้างของเก้าอี้คือ 19.5 นิ้ว

ภาพนี้จะเห็นระยะห่างระหว่างแถว (seat pitch) ได้ค่อนข้างชัดเจน จากคนในภาพที่นั่งไขว่ห้างอยู่ จะเห็นว่ามีระยะเหลืออีกเพียบเลย เข่าไม่ติด

เท่าที่ลองนั่ง (และนอน) ดูก็พบว่าสบายกว่า Economy ขึ้นมากๆ จนคิดว่าต่อไปนี้บินไกลๆ อาจไม่ต้องถึงขั้น Business ก็ได้ ขอแค่ที่นั่งมีระยะห่างเท่านี้ก็พอใจแล้ว

ระบบความบันเทิงเป็นจอสัมผัสรุ่นใหม่ จอใหญ่เห็นชัด สัมผัสดีกดไม่ยาก (ข้างในเป็น Android Tablet) หนังก็ค่อนข้างใหม่ทีเดียว เดินทางช่วงต้นเดือน พ.ค. 2018 มี Black Panther ให้ดูแล้ว แถมกดดูหนังปั๊บ หนังมาเลย โฆษณาไม่เยอะเหมือน Cathay ที่ต้องรอจนเบื่อ ดูโฆษณาดูแล้วดูอีก กว่าหนังจะเริ่มรัน (พอๆ กับโรงหนังบ้านเรา)

เก้าอี้มีช่องให้ชาร์จมือถือ (เป็นพอร์ต USB-A) ให้ โดยอยู่ด้านใต้ที่วางแขน แต่ไม่มีปลั๊กไฟให้ ใครคิดจะเสียบโน้ตบุ๊กอาจจะต้องผิดหวังนิดนึง

สิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ มีชุด amenity kit ของ Erno Laszlo กับหูฟังเกรดดีหน่อย (ไม่แน่ใจแบรนด์) เผอิญไม่ได้ถ่ายภาพมาด้วย เลยใช้ภาพจากเว็บของ EVA ละกัน (ถุงแบบสีดำ) ของข้างในก็มาตรฐาน มีแปรงสีฟัน ยาสีฟัน ผ้าปิดตา ที่อุดหู ถุงเท้า ลิปบาล์มทาปาก (อันนี้ได้ใช้) และครีมทาหน้า

อีกอันที่ชอบมากคือ Premium Economy มีรองเท้าแตะให้ด้วย ปกติเวลาขึ้นเครื่องบินจะถอดรองเท้าอยู่แล้ว พอมีรองเท้าแตะก็ช่วยให้เดินไปเข้าห้องน้ำได้สบายขึ้น ปกติฟีเจอร์แบบนี้มีในชั้นธุรกิจ แต่พอ Premium Economy ได้ด้วยก็เป็นเรื่องดีครับ

ภาพจาก EVA Air

อาหารและเครื่องดื่ม

ปกติแล้วเป็นคนที่ไม่ซีเรียสกับเรื่องอาหารมากเท่ากับเรื่องเก้าอี้ คือให้กินอะไรก็กินได้หมด แต่ไหนๆ เป็น Premium Economy ที่แพงกว่า Economy และอาหารดีกว่ากันอีกนิด ก็มารีวิวสักหน่อยครับ

ไฟลท์กรุงเทพ-ไทเป เป็นไฟลท์กลางคืน บินสั้นๆ ไม่กี่ชั่วโมง เลยเสิร์ฟแค่มื้อเดียวตอนขาขึ้น เมนูก็ตามภาพ

คลิกเพื่อดูภาพขนาดเต็ม

สิ่งที่น่าสนใจคือ Premium Economy มีเครื่องดื่มค่อนข้างหลากหลายกว่าชั้น Economy ทั่วไปมาก (โดยเฉพาะแอลกอฮอล์) ที่เตะตาเป็นพิเศษคือมีเหล้าบ๊วย Choya Plum Liqueur ด้วย ส่วนเครื่องดื่มที่ไม่ใช่แอลกอฮอล์ ก็มีชาเขียวยี่ห้อ ITO EN ด้วย เผื่อใครชอบกิน

ที่ผ่านมาเคยกินแต่ไวน์บนเครื่องบิน คราวนี้มีเหล้าบ๊วยให้เลือกเลยลองสักหน่อยครับ (ภาพถ่ายจากไฟลท์ไทเป-ซานฟราน เพราะขาไปจากกรุงเทพคือง่วงมากจะนอนอย่างเดียว)

อาหารของสายการบิน EVA Air คล้ายกับสายการบินฝั่งเอเชียรายอื่นๆ คือมีให้เลือก 2 เมนู เป็นสไตล์เอเชีย 1 และสไตล์ตะวันตก 1 ทริปนี้เลือกอาหารแบบเอเชียทั้งหมด เมนูของเที่ยวบินกรุงเทพ-ไทเป เป็นข้าวกับปลานึง ราดซอสสาหร่าย ก็อร่อยดีครับ

ถึงแม้จะเป็น Premium Economy แต่ยังมีคำว่า Economy แปะมาด้วย ก็กินข้าวกันในถาดอยู่ดีนะ 😀 (ไม่เป็นไรเราไม่ซีเรียส) อาหารอื่นในชุดมียำไก่สไตล์ไทย, ผลไม้ และเค้กราสป์เบอร์รีโยเกิร์ตมูส มีแถมสาหร่ายมาให้ซองนึงด้วย (ไอ้นี่แหละอร่อย ควรขออีกซอง)

อย่างอื่นก็ไม่มีอะไรมากครับ เนื่องจากเป็นไฟลท์บินสั้นๆ แถมบินกลางคืน ดังนั้นแทบไม่ได้ทำอะไรนอกจากกินกับนอน แป๊บเดียวก็ถึงไทเปละ

Transit ที่สนามบิน Taiwan Taoyuan International Airport

EVA Air มีฮับการบินอยู่ที่สนามบินเถาหยวนของไต้หวัน ดังนั้นเราต้องมาเปลี่ยนเครื่องที่นี่ สนามบินเถาหยวนจะค่อนข้างเก่าอยู่พอสมควร มีอาคารเทอร์มินัล 2 อันที่ติดกัน เดินทะลุกันได้เลย ข้อดีคือมีร้านค้าเยอะพอสมควร ส่วนข้อเสียคือมีจุดให้นั่งพักค่อนข้างน้อย และมีร้านอาหารน้อย (สำหรับคนที่ต้องรอเปลี่ยนเครื่องยาวๆ และต้องกินข้าวรอระหว่างนั้น)

คิดว่าในภาพรวมแล้ว การแวะทรานสิตที่สนามบินฮ่องกง หรือเกาหลี นั้นให้ประสบการณ์ที่ดีกว่ามาก แต่เถาหยวนก็ไม่ได้เข้าขั้นแย่อะไรมากนัก ภาพรวมโอเค แค่ว่าไม่อลังการเท่านั้นเอง

EVA Air Premium Economy ไทเป-ซานฟรานซิสโก

รายละเอียดไฟลท์

  • หมายเลขไฟลท์: BR 8
  • เดินทางวันที่ 6 May 2018
  • Depart: 10:15am Taipei (TPE)
  • Arrive: 06:40am San Francisco (SFO)
  • Flight time: 11:25 hrs
  • รุ่นเครื่องบิน: B777-300ER

แวะพักที่เถาหยวนประมาณ 3 ชั่วโมงก็ได้เวลาขึ้นเครื่องครับ ไฟลท์นี้เราต้องบินกันยาว 11 ชั่วโมงครึ่งเลยทีเดียว

สภาพของเก้าอี้และสิ่งอำนวยความสะดวกของ Premium Economy ในเที่ยวบินไทเป-ซานฟรานซิสโก เหมือนกับเที่ยวบินกรุงเทพ-ไทเป ทุกประการ สิ่งที่ต่างกันมีแค่อาหารเท่านั้นเอง

ไฟลท์นี้เป็นไฟลท์ข้ามทวีป อาหารจะเสิร์ฟ 2 มื้อครับ เมนูตามภาพ

อาหารชุดแรกที่ขึ้นเครื่องปั๊บเสิร์ฟก่อนเลย (เทียบเป็นเวลาท้องถิ่นก็ประมาณตอนเที่ยง) มีให้เลือกสองอย่างคือ หมูกับมันฝรั่ง และปลากับสปาเก็ตตี้ เลยเลือกอย่างหลัง

พบว่ามื้อนี้อร่อยมาก สปาเก็ตตี้นี่ครีมอย่างข้น อาหารอื่นในชุดคือสลัดผัก แซลมอนรมควัน และผลไม้ เสิร์ฟชุดนี้เสร็จแล้วยังมีไอศกรีม Häagen-Dazs ปิดท้ายด้วย (แต่เทียบกันแล้ว Cathay Pacific นี่มี Häagen-Dazs ให้กับคนนั่ง Economy Class แบบปกติด้วยนะ)

ส่วนเมนูมื้อที่เสิร์ฟก่อนเครื่องลง (Refresher) เป็นชุดอาหารเช้าแบบจีน (ข้าวต้ม) หรือแบบฝรั่ง (ออมเล็ต-ไส้กรอก) เลยเลือกข้าวต้มมากินเบาๆ ครับ เป็นข้าวต้มใส่กุ้ง เห็ดหอม ใส่ซีอิ๊วมานิดหน่อย กินร้อนๆ ช่วยให้สดชื่นขึ้นจากการบินบนเครื่องที่อากาศแห้งๆ เย็นๆ มาสิบกว่าชั่วโมง

บทสรุป: Premium Economy นั่งสบายกว่า Economy มาก ในราคาที่ไม่แพงแบบ Business

ภาพรวมแล้วก็ค่อนข้างประทับใจกับ Premium Economy ของ EVA Air ยิ่งขากลับของทริปนี้ นั่งกลับมาเป็น Economy ธรรมดาด้วย เลยยิ่งเห็นตัวเปรียบเทียบชัดเจนเรื่องเก้าอี้นั่ง โดยเฉพาะไฟลท์จากซานฟรานซิสโกกลับมาไทเป (BR 027) ที่ได้เครื่อง B777-300ER ก็จริง แต่เป็นรุ่นย่อยตัวเก่า จัดที่นั่ง Economy แบบแน่นสุดๆ 3-4-3 แทบขยับตัวไม่ได้เลยทีเดียว

การได้นั่งเก้าอี้ใหญ่ขึ้นหน่อย มี leg room ให้เหยียดขามากขึ้นอีกนิด ช่วยให้การเดินทางข้ามทวีปแบบครึ่งโลกนี้สบายขึ้นมาก ส่วนอาหารก็มีตัวเลือกพิเศษเพิ่มมาอีกนิดๆ หน่อย แต่คงไม่ใช่ประเด็นสำคัญอะไร ข้อด้อยก็อย่างที่บอก คงเป็นว่าการทรานสิตที่ไต้หวัน อาจไม่สะดวกสบายเท่ากับสนามบินในประเทศอื่นๆ ละแวกนี้

สุดท้ายแล้ว การตัดสินใจเลือกบิน Premium Economy คงขึ้นกับผู้อ่านแต่ละท่าน ว่ามองราคาของตั๋ว Premium Economy จะอยู่ที่ประมาณ 2 เท่าของ Economy ปกติ (ถ้าเป็น Business จะประมาณ 3 เท่า) ว่าคุ้มค่าแค่ไหนครับ