Umegaoka no Midori Sushi

รีวิวมิโดริซูชิ (Midori Sushi) สาขาต้นตำรับที่อุเมะกะโอกะ

ผมเชื่อว่าหลายๆ คนที่เคยหาข้อมูลร้านซูชิในโตเกียว คงคุ้นกับร้านซูชิชื่อ มิโดริซูชิ (Midori Sushi) ซึ่งเป็นร้านซูชิที่เป็นรู้ที่รู้จักกันดีว่ามีซูชิคุณภาพดี ราคาย่อมเยา มีสาขาอยู่ตามสถานที่ท่องเที่ยวใหญ่ๆ หลายแห่ง และถูกรีวิวลงในเว็บไซต์และกระทู้ต่างๆ ในพันทิปอยู่หลายต่อหลายรอบ (ตัวอย่าง 1, 2, 3, …)

คราวนี้ทีมงาน 2baht.com ขออาสาแนะนำมิโดริซูชิสาขาที่เป็นต้นตำรับเผื่อใครสนใจจะได้แวะไปทานกัน

อุเมะกะโอะกะ โนะ มิโดริซูชิ (Umegaoka no Midori Sushi)

ถึงแม้ว่าโดยทั่วไปหลายๆ คนมักจะเรียกชื่อร้านนี้ว่า “มิโดริซูชิ” แต่ชื่อเต็มๆ ของร้านนี้มีชื่อว่า อุเมะกะโอะกะ โนะ มิโดริซูชิ (Umegaoka no Midori Sushi) หากแปลตรงตัวแล้วก็หมายถึงร้านมิโดริซูชิแห่งย่านอุเมะกะโอะกะ (Umegaoka) ในเขตเซตะงะยะ (Setagaya-ku) ที่เป็นที่ตั้งของร้านแรกของมิโดริซูชินั่นเอง

วันเวลาเปิดทำการ:

  • จันทร์-เสาร์ : 11.00-22.00 (Last order 21.45)
  • อาทิตย์ และวันหยุดพิเศษ : 11.00-21.00 (Last order 20.45)

เว็บไซต์ของร้านhttp://www.sushinomidori.co.jp/honkan.html

การเดินทาง

ย่านอุเมะกะโอะกะเป็นย่านชุมชนที่พักอาศัยถัดออกไปจากย่านชิโมะคิตะซะวะ (Shimo Kitazawa)  ที่อยู่ด้านตะวันตกของกรุงโตเกียว

การเดินทาง ถ้าเริ่มจากสถานีชินจุกุ (Shinjuku) ไปยังสถานีอุเมะกะโอะกะ สามารถทำได้โดยขึ้นรถไฟสายโอดะคิว (Odakyu) แบบรถธรรมดา (Local) ใช้เวลาประมาณ 15 นาที ร้านมิโดริซูชิจะอยู่ทางด้านใต้ของสถานีอุเมะกะโอะกะ ใช้เวลาเดินจากสถานีไม่เกินหนึ่งนาทีก็จะถึงหน้าร้าน

เมื่อถึงสถานีแล้วให้ออกทางออกด้านใต้ เดินไปทางซ้ายผ่านแยกไปทางซอยที่มีร้าน Lawson 100 ร้านมิโดริซูชิจะอยู่ในตึกถัดไป

Umegaoka no Midori Sushi

การรับบัตรคิว

เมื่อมาถึงร้านแล้วสิ่งแรกที่ต้องทำก็คือการรับบัตรคิว โดยให้ไปที่จอที่ตั้งอยู่หน้าร้าน กดปุ่มใหญ่ๆ สีฟ้าแล้วตอบคำถามดังนี้ (มีภาษาอังกฤษ)

  • เลือกว่ากลุ่มเรามีกี่คน
  • เลือกประเภทที่นั่ง ที่นั่งแบบโต๊ะหรือนั่งเคาเตอร์
  • และสุดท้ายคืออยากนั่งชั้นไหน

เมื่อจบแล้วจะมีให้กดยินยอมว่าอาจจะมีการเรียกไม่ตรงตามลำดับ เช่นในกรณีที่เรามากัน 4 คน แต่มีโต๊ะ 2 คนว่าง ก็จะเรียกคิวถัดไปที่มากัน 2 คนให้เข้าไปก่อนเป็นต้น เสร็จแล้วเครื่องจะออกบัตรคิวให้

สำหรับคนที่มีอีเมลของระบบโทรศัพท์ของญี่ปุ่น สามารถกดบัตรคิวออนไลน์ได้ที่เว็บไซต์ของร้าน

การเรียกคิว

จุดนี้อาจจะเป็นจุดที่มีปัญหาเล็กน้อย เพราะสาขานี้ไม่ใช่ร้านที่มีนักท่องเที่ยวแวะมาเป็นประจำ พนักงานของร้านที่ออกมาเรียกคิวเลยใช้ภาษาญี่ปุ่นเป็นหลัก และเนื่องจากการเรียกคิวอาจจะไม่เป็นตามลำดับ ดังนั้นถ้าเราฟังไม่ออกหรือไม่ได้ตั้งใจฟัง ก็อาจจะโดนข้ามคิวไปได้ง่ายๆ

ตรงนี้อาจต้องไปแอบไปบอกพนักงานไว้ก่อนเลยว่าเราเลขคิวที่เท่าไหร่ ให้พนักงานมาเรียกเมื่อถึงคิว ในกรณีที่โดนเรียกข้ามไปแล้วให้รีบไปบอกพนักงานพร้อมโชว์บัตรคิว เดี๋ยวพนักงานจะช่วยแก้ปัญหาให้เอง

มีข้อควรระวังหนึ่งอย่างเกี่ยวกับการเรียกคิวคือ สมาชิกทุกคนในกลุ่มของเราจะต้องมาถึงและเดินเข้าร้านพร้อมกัน พนักงานถึงจะพาไปที่โต๊ะ ถ้าตอนที่เรียกคิวยังมาไม่ครบ ทางร้านจะข้ามให้คิวถัดไปเข้าไปก่อนแทน

บรรยากาศภายในร้าน

ในร้านอาหารแบ่งเป็นสามชั้น ชั้นล่างสุดและชั้นสอง มีแค่ที่นั่งเคาเตอร์และโต๊ะเล็กๆ ไม่มีที่กั้นระหว่างโต๊ะ ส่วนชั้นสามมีแค่โต๊ะและห้องจัดเลี้ยง ลูกค้าอาจไม่ขวักไขว่เท่าชั้นหนึ่งและชั้นสอง แต่บันไดค่อนข้างชันและแคบ พนักงานก็ไม่ค่อยเดินเข้ามาบ่อยเท่ากับด้านล่าง ตรงนี้อาจเป็นปัญหาเวลาสั่งอาหารอยู่บ้าง

ส่วนการตกแต่งร้านให้ความรู้สึกเป็นร้านอาหารราคาสูงกว่าร้านซูชิแบบเชนทั่วไป

เมนูอาหาร

เมนูของสาขาอุเมะกะโอะกะ คล้ายกับสาขาอื่นๆ มีทั้งซูชิแบบเป็นชุดและเลือกเป็นคำเองได้ ตัวเมนูเขียนด้วยภาษาญี่ปุ่นแต่เราสามารถขอเมนูภาษาอังกฤษจากพนักงานได้ ยกเว้นเมนูพิเศษเฉพาะฤดูกาลหรือเมนูพิเศษของสาขาเอง ที่อาจมีเฉพาะภาษาญี่ปุ่นเท่านั้น

ส่วนซูชิหน้าที่อยากจะแนะนำของร้านนี้ ที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือ “แซลม่อน” ครับ

ปกติแซลม่อนของมิโดริซูชิสาขาอื่นมีจุดเด่นที่ปลาชิ้นใหญ่มากจนปิดข้าวมิด ส่วนจุดที่พิเศษกว่าของแซลม่อนของสาขาอุเมะกะโอกะ ขอให้ดูภาพด้านล่างนี้ประกอบครับ

Salmon comparison midori
เปรียบเทียบขนาดแซลมอน (ซ้าย) มิโดริสาขาอุเมะกะโอะกะ (ขวา) มิโดริสาขาชิบุยะ
สังเกตว่า “ขนาด” ปลาแซลมอนของสาขาอุเมะกะโอะกะจะหนากว่าของสาขาอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัด เอาไปปั้นทำเป็นซูชิของร้านอื่นได้สามคำเลยทีเดียว ตัวเนื้อแซลมอนดูมันและมีไขมันกว่าชิ้นทางขวามือที่เป็นของสาขาชิบุยะ เมื่อทานเข้าไป ก็รู้สึกได้ชัดเจนครับว่าแซลมอนของสาขาอุเมะกะโอะกะจะสดและอร่อยกว่าของสาขาชิบุยะอยู่พอสมควร (ราคาอาหารทั้งสองสาขา คิดราคาอาหารเท่ากัน)

อีกเมนูที่ผมคิดว่าควรลองของสาขานี้คือ Aburi Salmon หรือแซลมอนลนไฟด้านบน ให้พอสุกจนมันของแซลมอนแตกตัวออกมาทำให้รสเข้มข้นกว่าการกินแบบดิบๆ จากนั้นโรยหน้าด้วยอิคุระ หยิบเข้าปากแล้วเหมือนละลายหายไปเลยทีเดียว ที่สำคัญขนาดของชิ้นปลาก็มาแบบไม่ธรรมดาอีกเหมือนกัน

Aburi Salmon Midori
ขนาดของ Aburi Salmon หรือแซลมอนลนไฟเทียบกับขนาดของตะเกียบ
เมนูถัดมาที่อยากแนะนำคือ คานิมิโสะหรือมันปู เมนูนี้มีให้เลือกสองรูปแบบ คือแบบที่ทำเป็นซูชิทรงเรือรบ (ให้สั่งว่า “คานิมิโสะกุนกัน”) กับแบบสลัดมันปูที่จะเป็นมันปูปรุงรสวางบนเนื้อปู ทั้งสองเมนูสามารถสั่งได้ที่สาขาอื่น แต่ว่าที่สาขานี้จะให้เยอะกว่าสาขาอื่นอีกเกือบเท่าตัว

คานิมิโสะกุนกัน

ที่น่าลองอีกเมนูกคือ “อะบุริเอ็นกาว่า” (เอ็นกาว่าลนไฟ) เนื้อปลาพอยิ่งโดนเผาก็มีน้ำมันออกมา ตัดกับรสเปรี้ยวๆ หวานๆ ของมายองเนสด้านบน จะรู้สึกว่าลื่นลงคอเข้าไปเลย

เอ็นกาวาลนไฟ (อะบุริเอ็นกาว่า)
เอ็นกาวาลนไฟ (อะบุริเอ็นกาว่า)
สำหรับเมนูอื่นๆ ของร้านจะคล้ายกับของสาขาอื่น เท่าที่ลองชิมมากับเพื่อนๆ ได้ข้อสรุปว่ามิโดริซูชิสาขานี้ให้ปริมาณปลาที่คุ้มค่ากว่าสาขาอื่น วัตถุดิบก็สดและอร่อยกว่าสาขาอื่นมากๆ

โอโทโร่กับแซลมอน
โอโทโร่กับแซลมอน

บุฟเฟต์

ใช่แล้วครับ จุดเด่นอีกอย่างของร้านนี้ก็คือสามารถสั่งทานแบบบุฟเฟต์ทานได้ไม่อั้น จำกัดเวลาที่ 90 นาทีครับ แต่ว่าเปิดบริการเฉพาะวันจันทร์เท่านั้น ผู้ชายคิดราคา 3600 เยน ผู้หญิงราคา 3000 เยน

การรับประทานบุฟเฟต์มีเงื่อนไขดังนี้ครับ

  • สั่งได้ทุกอย่างจากเมนูบุฟเฟท์ มีเมนูพื้นฐานเกือบทุกเมนู อาจไม่มีพวกพรีเมี่ยมที่เป็นของเฉพาะฤดู
  • สั่งโอโทโร่ และอะบุริโอโทโร่ (โอโทโร่ลนไฟ) รวมกันได้คนละไม่เกินสามชิ้น
  • สั่งซูชิได้ครั้งละห้าหน้า แต่หน้าละกี่คำก็ได้

แต่เนื่องจากการทานบุฟเฟท์ได้รับความนิยมมาก ดังนั้นจึงมีคนไปต่อคิวหน้าร้านเป็นจำนวนมาก คนที่อยากทานควรต้องเผื่อเวลาไว้เยอะๆ

ล่าสุดเท่าที่มีเพื่อนไปทานมาเล่าให้ฟังว่าหยิบบัตรคิวตอน 11 โมง ได้เข้าร้านหลังห้าโมงเย็นครับ

เหมาะกับใคร

ร้านมิโดริซูชิสาขาหลักนี้น่าจะเหมาะกับนักท่องเที่ยวที่มีเวลาอยู่โตเกียวนานหน่อย รวมถึงคนที่ไปเที่ยวที่ชิโมะคิตะซะวะหรือพิพิธภัณฑ์โดราเอมอน

เนื่องจากสถานีอุเมะกะโอะกะนั้นอยู่ค่อนไปทางชานเมืองและไม่ได้อยู่ใกล้สถานที่ท่องเที่ยวดังๆ เท่าไหร่ การมาทานอาหารที่นี่ทำให้อาจจะรู้สึกอ้อมไปอ้อมมาเล็กน้อย

สถานที่เที่ยวใกล้เคียง

นอกเหนือจากร้านซูชิแล้ว ย่านอุเมะกะโอกะยังมีสวนฮะเนะกิโคเอง ที่มีชื่อเสียงเรื่องดอกบ๊วยอีกด้วย ดังนั้น

หากผู้อ่านมาที่ร้านมิโดริซูชิในช่วงฤดูดอกบ๊วยบานเดือนกุมภาพันธ์-ต้นเดือนมีนาคม แนะนำให้ลองแวะชมดอกบ๊วยที่สวนฮะเนะกิโคเองด้วย ระยะเวลาเดินจากสถานีอุเมะกะโอะกะประมาณ 5 นาที

นอกจากนี้ที่สถานี Setagaya-Daita ที่อยู่ติดกันจะมีร้านชิโระฮิเกะที่ขายชูครีมโตโตโระอยู่ ถ้าใครสนใจก็อาจจะแวะไปได้ครับใช้เวลาเดินจากสถานีอุเมะกะโอะกะประมาณ 15 นาที

สรุป

ร้านมิโดริซูชิสาขาอุเมะกะโอะกะเป็นร้านมิโดริซูชิสาขาแรก จุดเด่นหลักๆ ของสาขานี้คือซูชิสดใหม่ อร่อย ราคาย่อมเยา และเลือกทานแบบบุฟเฟ่ท์ได้ ถ้าใครมีเวลาและอยากเดินเล่นในแถบที่อยู่อาศัยของโตเกียวก็แนะนำให้มาลองกันดูครับ