เมื่อพูดถึงแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นสัญลักษณ์ของประเทศฝรั่งเศส แทบทุกคนคงนึกถึง “หอไอเฟล” ที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางกรุงปารีส รวมถึงพระราชวังสำคัญของโลกอย่างแวร์ซายและลูร์ฟ
แต่จริงๆ แล้วฝรั่งเศสยังมีสิ่งก่อสร้างชื่อก้องโลกอยู่อีกแห่งคือ “มองแซงมิเชล” (Mont Saint-Michel) ที่แปลว่า “เนินเขาแห่งเซนต์ไมเคิล” เป็นวิหารคริสต์ที่สร้างอยู่บนเกาะกลางทะเลริมชายฝั่งแคว้นนอร์มังดี และเมื่อน้ำลดก็สามารถเดินจากชายฝั่งไปยังวิหารแห่งนี้ได้เลย
มงแซงมิเชลถูกยกให้เป็น “สิ่งมหัศจรรย์ของโลกตะวันตก” (Wonder of the Western World) และเป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของประเทศฝรั่งเศส ในแต่ละปีมีนักท่องเที่ยวมาเยือนมากถึง 3 ล้านคน
ประวัติการสร้างมงแซงมิเชล
มงแซงมิเชลถือเป็น “สิ่งมหัศจรรย์” แห่งประเทศฝรั่งเศส เดิมทีเกาะแห่งนี้เรียกว่า Mont Tombe มีคนมาอาศัยอยู่ตั้งแต่สมัยของชนเผ่าแฟรงก์ ตำนานการก่อสร้างวิหารบนเกาะแห่งนี้คือ บิชอป Aubert of Avranches ที่มีชีวิตอยู่ในศตวรรษที่ 7 ฝันว่ามีเทวฑูต “เซนต์ไมเคิล” สั่งให้มาสร้างโบสถ์บนเกาะปากแม่น้ำ Couesnon แต่บิชอปก็ไม่ได้สนใจทำตามความฝันอันนี้
ตามตำนานเล่าว่าเทวฑูตมาเข้าฝันบิชอปถึง 3 ครั้ง และครั้งสุดท้ายยังเอานิ้วจิ้มหัวของบิชอปด้วย เมื่อตื่นมาแล้วบิชอปพบว่าศีรษะของตัวเองมีรอย จึงเชื่อว่าความฝันเป็นจริง และริเริ่มการสร้างโบสถ์บนเกาะแห่งนี้ในปี ค.ศ. 709 จากนั้นหลังบิชอปเสียชีวิตใน ค.ศ. 720 คนยุคต่อมาก็ค่อยๆ สร้างต่อเติมมงแซงมิเชลมาเรื่อยๆ สถาปัตยกรรมแบบดั้งเดิมของวิหารเป็นแบบโรมาเนสค์ (Romanesque) และถูกปรับเป็นแบบโกธิค (Gothic) ในยุคกลาง ประมาณศตวรรษที่ 15
ทำเลที่ตั้ง
Mont Saint-Michel ตั้งอยู่ริมทะเลในแคว้นนอร์มังดีทางตะวันตกของประเทศฝรั่งเศส ห่างจากกรุงปารีสประมาณ 360 กิโลเมตร เมืองที่ใกล้ที่สุดคือเมือง Avranches และ Pontorson อยู่ไม่ไกลนักจากเมืองตากอากาศ St. Malo
ถ้าดูจากแผนที่ Google Maps จะเห็นว่า Mont Saint-Michel มีสถานะเป็นเกาะอยู่ริมชายหาดเลย จากภาพจะเห็นว่าตัวเกาะจะอยู่บริเวณปากแม่น้ำที่มีแม่น้ำ 2 สายไหลมาเจอกันพอดี
ในอดีตที่ผ่านมา การไปยังเกาะแห่งนี้ต้องใช้เรือเท่านั้น แต่ในสมัยใหม่ก็มีการสร้างถนนเชื่อมไปยังตัวเกาะ อย่างไรก็ตาม ถนนเส้นนี้กลับสร้างผลกระทบต่อทิศทางน้ำ เพราะขวางทางน้ำของแม่น้ำสองสาย ส่งผลให้น้ำแห้งขอดลง
ล่าสุดเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา รัฐบาลฝรั่งเศสจึงทุบถนนเส้นเดิมทิ้ง และสร้างสะพานข้ามไปยังเกาะแทน เพื่อให้น้ำลอดผ่านใต้สะพานได้ด้วย มีการนำหลักวิศวกรรมสมัยใหม่มาช่วยประเมินทิศทางไหลของน้ำ ให้มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยลง
ภาพดานล่างนี้เป็นภาพถ่ายจากบนวิหารย้อนกลับมายังชายฝั่ง จะเห็นสะพานเส้นใหม่ที่ตัดข้ามน้ำมาสู่เกาะมงแซงมิเชล ส่วนถนนเส้นเก่ากำลังอยู่ระหว่างรื้อถอน (เมื่อเดือน พ.ค. 2015 ยังเห็นรถขุดมาปรับสภาพพื้นที่กันอยู่)
คลิปแนะนำมงแซงมิเชล และการสร้างสะพานอันใหม่ในปี 2009 เพื่อปรับสถานะของมงแซงมิเชลกลับมาเป็นเกาะกลางน้ำอีกครั้ง
การเดินทางมายังมงแซงมิเชล
เนื่องจากมงแซงมิเชลเป็นสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังของโลก ในบริเวณนั้นจึงมีสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น ร้านอาหาร ที่พัก มากมาย การเดินทางไปยังมงแซงมิเชลต้องเดินทางด้วยรถยนต์เท่านั้น สำหรับผู้ที่มาด้วยรถยนต์ส่วนตัวหรือมากับกรุ๊ปทัวร์คงไม่มีปัญหา
ในกรณีที่เดินทางมาเที่ยวด้วยตัวเอง สามารถนั่งรถไฟมาลงที่เมือง Pontorson และต่อรถบัสมายังมงแซงมิเชลได้เลย (ค่ารถที่ระบุในเว็บไซต์คือ 12.70 ยูโร) ส่วนถ้ามาโดยเครื่องบินโดยไม่ลงที่ปารีส สนามบินที่ใกล้ที่สุดอยู่ที่เมือง Rennes และ Dinard Pleurtuit ถ้ามาลงที่ Rennes สามารถต่อรถบัสมาได้เช่นกัน
ปัจจุบันมงแซงมิเชลได้ปรับพื้นที่โดยรอบใหม่ โดยจะมีศูนย์นักท่องเที่ยวอยู่บริเวณจอดรถยนต์-รถบัส ที่ห่างออกมาจากตัววิหารอยู่ประมาณหนึ่ง เราต้องจอดรถแล้วนั่งรถชัทเทิลบัสบริการฟรี ข้ามสะพานไปยังตัวเกาะ (หรือจะขี่จักรยาน-เดินไปก็ได้ มีฝรั่งทำกันเยอะแต่ก็ไกลพอสมควร)
ศูนย์นักท่องเที่ยวและจุดจอดรถบัสจะอยู่ทางซ้ายมือของภาพ
ภายในศูนย์ข้อมูลนักท่องเที่ยวจะมีนิทรรศการ ห้องฉายภาพยนตร์ ประวัติความเป็นมาของมงแซงมิเชล และมีห้องน้ำบริการฟรีด้วย (ในตัววิหารก็มีห้องน้ำแต่เสียเงิน 0.5 ยูโร) แต่ในนี้ไม่มีอาหารขาย
รถชัทเทิลบัสไปมงแซงมิเชล จะมีบริการตลอดทั้งวัน ให้บริการฟรี โดยจะจอดกลางทางบริเวณก่อนขึ้นสะพานข้ามแม่น้ำ (จุดนั้นจะเป็นร้านอาหารและที่พัก) และจอดอีกทีคือสุดปลายสะพานบนเกาะมงแซงมิเชลเลย (ขากลับก็นั่งรถบัสนี้กลับมายังลานจอดรถเช่นเดิม)
การนั่งรถชัทเทิลบัสจะใช้เวลาประมาณ 10 นาที โดยเราจะเห็นวิหารมงแซงมิเชลแทบตลอดเวลา ระหว่างนั่งรถบัสเราก็จะเห็นฝรั่งขี่จักรยาน หรือเดินจูงหมาข้ามสะพานเพื่อมาชมวิหารกันอยู่เรื่อยๆ
เมื่อลงรถแล้ว เราจะต้องเดินอีกหน่อยเพื่อไปยังตัวเกาะ ตรงนี้ต้องเตือนว่าถ้ามาช่วงกลางวันในฤดูร้อน อากาศจะร้อนมาก ควรเตรียมร่มหรือหมวกมาให้พร้อมด้วย
มีอะไรน่าสนใจภายในมงแซงมิเชล
อัตราค่าเข้าชมวิหารมงแซงมิเชลอยู่ที่ 9 ยูโร เวลาเข้าชมในช่วงฤดูร้อน (พ.ค.-ส.ค.) คือ 9:00-18:00 น. ส่วนในฤดูหนาว (ก.ย.-เม.ย.) จะเปิดเร็วหน่อยคือ 9:30-17:00 น. ตามภาพ
มงแซงมิเชลเป็นเกาะที่มีคนอาศัยอยู่จริงๆ (ไม่รวมเจ้าหน้าที่หรือคนขายของตามร้านค้า) ถึงแม้ปัจจุบันจะมีประชากรอยู่น้อยระดับหลักสิบก็ตาม (ตัวเลขปี 2015 คือ 50 คน แต่ในอดีตเคยมีประชากรเยอะถึง 1 พันคน)
พื้นที่ด้านล่างๆ ของเกาะจึงเป็นบ้านเรือนที่ปัจจุบันกลายเป็นร้านอาหาร-ร้านค้าต้อนรับนักท่องเที่ยวไปหมดแล้ว มีแม้กระทั่งที่ทำการไปรษณีย์ (La Poste)
ร้านอาหารที่ขึ้นชื่อมงแซงมิเชลคือร้านนี้ La Mère Poulard (เป็นทั้งโรงแรมและร้านอาหาร) เปิดมาตั้งแต่ ค.ศ. 1888 ร้านจะใช้ผ้าใบสีแดงเป็นสัญลักษณ์เด่นมาก
อาหารเด่นของทางร้านคือไข่เจียว Omelette ต้นตำรับดั้งเดิม หน้าตาจะฟูๆ แบบที่เห็น (เผอิญเราไม่มีโอกาสได้ลองชิมเลยไม่รู้ว่ารสชาติเป็นอย่างไร)
การเที่ยวบนมงแซงมิเชลจะต้องเดินขึ้นเขาไปเรื่อยๆ เพื่อไปดูวิหารบนยอดเขา ตรงนี้อาจจะต้องขึ้นบันไดกันเยอะหน่อย แต่ก็ไม่มากจนเกินไป ค่อยๆ เดินขึ้นไปช้าๆ ได้ ระหว่างทางก็มีวิวบริเวณอ่าวให้ชมกัน
วิหารมงแซงมิเชล
เมื่อผ่านด่านตรวจตั๋วเข้ามายังโซนชั้นในวิหาร (Mont Saint-Michel Abbey) ก็จะมีสภาพเป็นเหมือนปราสาท-ป้อมปราการขนาดใหญ่เลย ตัววิหารสร้างต่อๆ กันมาหลายยุคหลายสมัย แต่ตัววิหารปัจจุบันเป็นสถาปัตยกรรมแบบโกธิคที่สร้างในศตวรรษที่ 12
ภายในโซนวิหารยังมีพิพิธภัณฑ์ให้ดูประวัติความเป็นมาของ Mont Saint-Michel ด้วย โดยมีโมเดลจำลองสภาพของเกาะและวิหารในแต่ละยุคสมัย ที่พัฒนาต่อเนื่องมาเรื่อยๆ
พัฒนาการในสมัยใหม่ของมงแซงมิเชล เคยถูกใช้เป็นคุกในช่วงหลังปฏิวัติฝรั่งเศส แต่ปัญญาชนยุคหลังหลายคน (เช่น วิกตอร์ ฮูโก) ก็เรียกร้องให้รัฐบาลฟื้นฟูกลับมาเป็นศาสนสถานดังเดิม ทำให้มงแซงมิเชลได้รับการยกระดับเป็นอนุสรณ์สถานแห่งชาติในปี ค.ศ. 1874 และได้เป็นมรดกโลกของ UNESCO ในปี ค.ศ. 1979
ในการฟื้นฟูยอดวิหารครั้งล่าสุด ต้องใช้เฮลิคอปเตอร์ยกมาวางบนยอดกันเลยทีเดียว ซึ่งในส่วนของพิพิธภัณฑ์มีโมเดลจำลองให้ดูกัน
ลานบนยอดวิหารมงแซงมิเชล ด้านบนสุดจะมีลานที่เอาไว้ชมวิวได้ และมีตัวโถงของโบสถ์
หน้าตาภายในโบสถ์
ตามปกติแล้ว นักท่องเที่ยวมักเดินขึ้นตัววิหารมงแซงมิเชลจากบันไดด้านหน้า (ด้านที่อยู่ติดชายฝั่ง) แต่เมื่อเราลงบันไดไปด้านหลังของเกาะ (ด้านที่ติดทะเล) ก็พบว่ามีวิวสวยงามไม่แพ้กัน แถมยังสามารถเดินอ้อมรอบเกาะกลับมายังด้านหน้าได้อีกเหมือนกัน
ทะเลบริเวณมงแซงมิเชลถือว่ามีระดับน้ำขึ้น-ลงแตกต่างกันมากที่สุดในยุโรป โดยจุดที่น้ำขึ้นสุดลงสุดมีความแตกต่างกันมาก บางครั้งอาจมีความสูงแตกต่างกันถึง 14 เมตรด้วยซ้ำ สถิติน้ำขึ้นสูงที่สุดเกิดขึ้นในวันที่ 21 มีนาคม 2015 สูงถึงขนาดสะพานที่สร้างใหม่จมอยู่ใต้น้ำเลยทีเดียว
ตารางน้ำขึ้นน้ำลงในแต่ละเดือน สามารถเช็คได้จากเว็บไซต์ Mont Saint-Michel มีพยากรณ์ล่วงหน้าประมาณ 2 ปี
คลิปแสดงระดับน้ำในแต่ละช่วงเวลาของมงแซงมิเชล จาก Normandy Tourism
ส่วนทะเลช่วงน้ำลงก็จะแห้งเหือดแบบที่เห็น ชนิดว่าลงไปเดินได้เลย
กิจกรรมช่วงน้ำลงสำหรับนักท่องเที่ยว ขี่ม้าในทะเล
วิววิหารจากด้านหลังของเกาะ
วิววิหารมงแซงมิเชล จากด้านข้างของเกาะ
ถ้ามีเวลาเหลือในมงแซงมิเชล ก็ยังมีร้านค้า ร้านขายของที่ระลึก ร้านอาหาร ร้านกาแฟสวยๆ ร้านขนม ร้านไอติม ให้เลือกเดินอีกมากมาย
โดยสรุปแล้ว มงแซงมิเชลถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ยิ่งใหญ่อีกแห่งหนึ่งของฝรั่งเศส ลำพังแค่ทำเลว่าเป็นวิหารที่อยู่บนเกาะกลางน้ำก็แจ๋วแล้ว ยังมีประเด็นเรื่องน้ำขึ้นน้ำลงมาเป็นลูกเล่นอีกด้วย ถึงแม้สิ่งปลูกสร้างและวิหารภายในเกาะอาจจะไม่อลังการเท่ากับโบสถ์ดังๆ ของยุโรป แต่ก็ควรมาเยือนสักครั้งในชีวิตอยู่ดี (แค่มาถ่ายรูปให้เห็นเกาะกลางน้ำก็คุ้มแล้ว)
รายละเอียดเพิ่มเติมสามารถดูได้จาก เว็บไซต์อย่างเป็นทางการของ Mont Saint-Michel มีข้อมูลเป็นภาษาอังกฤษด้วย