Red Diamond Cafe ร้านกาแฟเปิดใหม่ย่านเลียบทางด่วนรามอินทรา ที่กำลังมาแรงในหมู่คนรักกาแฟแบบจริงๆ จังๆ ด้วยจุดขายว่าเป็น ‘ร้านกาแฟพิเศษ’ (Specialty Coffee) ที่มีเครื่องไม้เครื่องมือทันสมัยที่สุด พร้อม Head Barista ที่ยกมาจากแอฟริกาใต้เลยทีเดียว
กลุ่มเป้าหมายของร้าน Red Diamond คือกลุ่มผู้ที่หลงใหลในรสชาติของ “กาแฟ” เชิงลึก ร้านนี้ไม่ใช่คาเฟ่ทั่วไปที่มีเครื่องดื่มชนิดอื่นและขนมให้บริการหลายอย่าง เพราะมีเสิร์ฟเฉพาะ “กาแฟ” เพียงอย่างเดียวเท่านั้น เหมาะสำหรับคนรักกาแฟที่อยากลองรสชาติของเมล็ดกาแฟชั้นดี เมล็ดกาแฟหายากจากทั่วโลก ที่ชงด้วยเทคนิคใหม่ๆ จากเครื่องชงไฮเทคหลายแบบ ด้วยทีมบาริสต้าที่มีประสบการณ์และใบรับรองคุณภาพในระดับนานาชาติ
หน้าร้านโดดเด่นเตะตา ด้วยโทนสีออกแดงๆ ปิดคลุมหน้าร้านเกือบหมด ดูขึงขังจริงจังมาก ไม่ใช่อารมณ์ชิคๆ คูลๆ แน่นอน
บรรยากาศของร้านตกแต่งด้วยสไตล์ Industrial เน้นปูนเปลือย เหล็ก และไม้สีเข้ม ให้ได้อารมณ์โรงงานคั่วกาแฟ ประตูเข้าร้านเป็นเหล็กทึบทั้งแผ่น (ชวนให้คิดว่าร้านเปิดหรือเปล่า) เหมือนโกดังเก็บสินค้า
เดินเข้ามาในร้านอีกหน่อย จะเห็นกระสอบเมล็ดกาแฟวางอยู่ ส่วนบนชั้นติดกำแพง จะเป็นลังเก็บเมล็ดกาแฟหลากหลายพันธุ์จากทั่วโลก อันนี้ไม่ใช่พร็อบตกแต่ง แต่เป็นลังเก็บเมล็ดจริงๆ มีกระดาษแปะไว้ว่าได้มาตอนไหน เบิกไปใช้ชงแล้วเท่าไรบ้าง
ในร้านมีที่นั่งไม่เยอะนัก (เห็นว่าวันหยุดเสาร์อาทิตย์ คนแน่นร้านเลยทีเดียว เราไปวันธรรมดาช่วงเที่ยง พอบ่ายๆ ลูกค้าก็เข้ามาเกือบเต็มร้านแล้ว) จุดเด่นที่สุดคือตรงเคาเตอร์ภายในร้าน เป็นการนั่งกินกาแฟที่บาร์ หันหน้าไปดูการชงของบาริสต้า (บาร์มีทั้งชั้น 1 และชั้น 2)
ที่เคาเตอร์มีเครื่องชงกาแฟล้ำยุค ราวกับหลุดมาจากสงครามอวกาศอยู่หลายรุ่น เท่าที่ทีมงานของทางร้านเล่าให้ฟังมีดังนี้
- MAVAM ราคาตัวนี้เกือบล้าน
- Trinity One สำหรับกาแฟดริป
- Steampunk
เนื่องจากผู้เขียนไม่ใช่คนที่รู้เรื่องกาแฟเชิงลึกเลย ก็คงไม่สามารถอธิบายได้นะครับว่าตัวไหนเทพยังไง คิดว่าในวงการน่าจะพอรู้กันดีอยู่แล้ว ดูแต่รูปละกันนะครับ
ตัวสีขาวนี่คือ MAVAM (บาริสต้าหัวทองมาเชียว คนนี้มาจากแอฟริกาใต้)
Trinity One
แท่นสี่เหลี่ยมที่เหมือนกรอบประตูคือ Steampunk
เมนูกาแฟของที่ร้านจะเปลี่ยนไปในแต่ละวัน ขึ้นกับเมล็ดกาแฟในช่วงนั้นด้วย ทางร้านอธิบายให้ฟังว่า กาแฟ Specialty แปลว่าจะต้องได้คะแนน 80% ขึ้นไป โดยร้านก็จะคัดกาแฟจากประเทศต่างๆ เช่น บราซิล โคลอมเบีย กัวเตมาลา เอธิโอเปีย ปาปัวนิวกินี ฯลฯ มาให้ชิมกัน ส่วนกาแฟระดับท็อปที่ได้คะแนน 90% ก็มีให้เลือกเช่นกัน (ตอนที่ไปเป็นกาแฟจากเอธิโอเปีย)
ในเมนูจะมี “กลิ่น” บอกไว้ด้วยว่า กาแฟแต่ละตัวชิมแล้วเราควรจะได้กลิ่นหรือรสแบบไหนบ้าง สำหรับนักชิมตัวจริง
เนื่องจากผู้เขียนไม่รู้เรื่องกาแฟเลย ทางร้านเลยจัด Ethiopia Nekisse (อันแรกสุดในเมนู) มาให้ลองชิม 1 ชุด กลิ่นของตัวนี้จะเป็น strawberry, jam, cocoa ผสมกัน
กาแฟเย็นของโต๊ะอื่น ขอถ่ายรูปมาหน่อย ไม่ได้ชิมหรอกนะ
ทางร้านกำลังตกแต่งชั้น 2-3 ของตึกให้เป็นสถาบันสอนด้านกาแฟ (ทั้งชงกาแฟและชิมกาแฟ) เพราะทีมงานของที่ร้านก็ได้ใบรับรอง ประกาศนียบัตรด้านกาแฟในระดับนานาชาติมามากมาย แปะอยู่เต็มฝาไปหมด ได้ข่าวว่าเชนร้านกาแฟใหญ่ๆ ของไทยก็ส่งคนมาเรียนกันตลอดด้วย
โดยสรุปก็คือ ร้าน Red Diamond Cafe ถือเป็นร้านกาแฟ Specialty สำหรับคนรักกาแฟจริงๆ (coffee lover) ที่คัดเลือกวัตถุดิบและอุปกรณ์ที่ดีที่สุดมาให้คอกาแฟลิ้มลองกัน ถ้าใครรักชอบทางนี้ก็ไม่ควรพลาดที่จะไปเยี่ยมเยือน (ตอนที่ทาง 2Baht ไป ก็มีจัดจ์หรือกรรมการผู้ตัดสินการแข่งชงกาแฟ จากเกาหลีมานั่งชิมอยู่ข้างๆ ด้วย)
เมื่อถามว่าทำไมถึงตั้งชื่อร้านว่า Red Diamond ทางทีมงานก็เปิดมือถือโชว์ภาพเมล็ดกาแฟตอนที่ยังไม่คั่วให้ดู แล้วบอกว่านี่แหละ “เพชรสีแดง” ตามความหมายของชื่อร้าน
ข้อมูลและรายละเอียดของร้าน Red Diamond
- Facebook: Red Diamond Cafe
- ที่อยู่: 733 ถนนประชาสงเคราะห์ (เลียบทางด่วน) 10310 วังทองหลาง กรุงเทพมหานคร
- เบอร์โทรศัพท์: 0850442662
- เวลาเปิด-ปิด: 11:00-20:00 น.
- ที่จอดรถ: ฝั่งตรงข้ามร้าน มีที่จอดรถของร้าน จอดได้ประมาณ 10 คัน
แผนที่และวิธีการเดินทาง
ร้านอยู่เกือบติดถนนประดิษฐ์มนูธรรม (เลียบด่วนรามอินทรา) ช่วงตัดกับถนนลาดพร้าว ถ้ามาจากลาดพร้าวขาออก พอมาถึงถนนเลียบด่วนแล้วเลี้ยวซ้าย จากนั้นเลี้ยวเข้าซอยแรกทันที ร้านอยู่ตรงหัวมุมเลย