2Baht.com พาเที่ยวประเทศโครเอเชียไปแล้วหลายเมือง ถ้านับเฉพาะเมืองชายฝั่งทะเลอาเดรียติก (Adriatic) หรือภูมิภาคที่เรียกกันว่า ดัลมาเชีย (Dalmatia) ก็มี ซิบีนิก (Sibenik), โทรเกียร์ (Trogir) และดูบรอฟนิก (Dubrovnik) มาคราวนี้เราจะพาไปดูเมืองชายฝั่งที่ใหญ่ที่สุดของโครเอเชีย (และใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศ รองจากเมืองหลวงซาเกร็บ) นั่นคือเมืองสปลิท (Split)
สปลิท เป็นเมืองชายทะเลที่ใหญ่ที่สุดในทะเลอาเดรียติก และมีประวัติความเป็นมาราว 2,500 ปีนับตั้งแต่ยุคกรีก เมืองสปลิทมีแหล่งท่องเที่ยวสำคัญคือ พระราชวังของจักรพรรดิดิโอคลีเชียน (Diocletian) แห่งจักรวรรดิโรมัน ซึ่งยังมีความสมบูรณ์มากแม้ว่าจะมีอายุเกือบ 2 พันปีแล้วก็ตาม
รู้จักกับจักรพรรดิ ‘ดิโอคลีเชียน’
จักรพรรดิดิโอคลิเชียน (Diocletian บ้างก็ออกเสียงว่า ไดโอคลีเชียน) ถือเป็นจักรพรรดิองค์สำคัญของโรมันยุคหลังๆ พระองค์มีชีวิตอยู่ใน ค.ศ. 245-311 โดยเกิดในตระกูลชั้นต่ำ แต่ค่อยๆ ไต่เต้าจากการเป็นทหารจนได้เป็นจักรพรรดิ
อาณาจักรโรมันในช่วงเวลานั้นมีความไม่สงบที่เรียกว่า “วิกฤตการณ์แห่งศตวรรษที่สาม” (Crisis of the Third Century) กินเวลาประมาณ 50 ปี โดยทหารหลายกลุ่มผัดเปลี่ยนกันมาเป็นจักรพรรดิ และโค่นจักรพรรดิกลุ่มก่อนหน้านั้นลง เกิดสงครามกลางเมืองหลายต่อหลายครั้ง รวมถึงโรคระบาดและเศรษฐกิจตกต่ำ จนจักรวรรดิโรมันเริ่มเสื่อมถอยลง
ดิโอคลีเชียน เกิดในแถบเมืองสปลิท ริมชายฝั่งโครเอเชียนั่นเอง เมื่อพระองค์ตั้งตนเป็นจักรพรรดิได้แล้ว ก็สามารถยุติความวุ่นวายต่างๆ ลงได้อย่างราบคาบ และปกครองจักรวรรดิโรมันเป็นเวลาประมาณ 20 ปี (ค.ศ. 284-305)
แนวทางการปกครองที่พระองค์นำมาใช้งานคือแบ่งพื้นที่ของโรมันอันกว้างใหญ่ออกเป็น 4 ส่วน และมีผู้ปกครอง 4 คนแยกพื้นที่กันไปให้ครอบคลุม พื้นที่ไหนมีศัตรูรุกราน ผู้ปกครองก็สามารถแก้ปัญหาได้ทันที โดยไม่ต้องวิ่งเข้ามารายงานส่วนกลางที่กรุงโรม ระบบการปกครองแบบนี้เรียกว่า Tetrarchy หรือจตุราชาธิปไตย โดยมีจักรพรรดิอาวุโสที่เรียกว่า “ออกุสตุส” 2 องค์ และจักรพรรดิขั้นรองที่เรียกว่า “ซีซาร์” อีก 2 องค์ ระบบการปกครองนี้เป็นพื้นฐานก่อนที่โรมันจะแยกเป็นตะวันตก-ตะวันออกในช่วงหลังจากนั้นไม่นาน
ดิโอคลีเชียนเป็นจักรพรรดิอาวุโสคนแรก จากนั้นแต่งตั้งนายพลอีกคนมาเป็นจักรพรรดิแบ่งกันปกครอง และมีผู้สืบทอดตำแหน่งอีก 2 คน หลังจากบ้านเมืองสงบสุขดีแล้ว ดิโอคลีเชียนก็มีความคิดจะ “เกษียณตัวเอง” โดยมาสร้างพระราชวังเตรียมเอาไว้ที่บริเวณบ้านเกิดของตัวเอง ซึ่งพระราชวังแห่งนี้ก็คือจุดตั้งต้นของเมืองสปลิทนั่นเอง
ดิโอคลีเชียน เกษียณอายุใน ค.ศ. 305 ถือเป็นจักรพรรดิโรมันพระองค์แรกที่เกษียณอายุ สละราชบัลลังก์โดยสมัครใจ จากนั้นพระองค์ก็มาอาศัยอยู่ที่เมืองสปลิท จนเสียชีวิตในปี 311
พระราชวังของดิโอคลีเชียน
ขึ้นชื่อว่าเป็น “พระราชวัง” (Palace) เพราะเป็นที่ประทับของจักรพรรดิ แต่จริงๆ แล้วในเชิงสถาปัตยกรรมมันคือ “ป้อมปราการ” (Fortress) ซะมากกว่า
พระราชวังแห่งนี้เป็นแนวกำแพงรูปสี่เหลี่ยม ขนาด 160×190 เมตร มีหอคอยปกป้องจากศัตรูโดยรอบ ด้านหนึ่งอยู่ติดทะเลเพื่อให้หลบหนีได้ถ้าโดนรุกรานจากทางบก
พื้นที่ในพระราชวังประมาณครึ่งหนึ่ง เป็นพื้นที่อยู่อาศัยของดิโอคลีเชียน ส่วนที่เหลือเป็นค่ายทหารและที่อยู่ของประชากร ตัวเมืองแห่งนี้เคยมีประชากรอาศัยมากถึง 9,000 ครัวเรือน ภายในมีโบสถ์ บ้านเรือน สิ่งปลูกสร้างต่างๆ เฉกเช่นเดียวกับเมืองโบราณในอดีตทุกประการ พระราชวังแห่งนี้ได้รับการยกย่องเป็น “มรดกโลก” ของ UNESCO ในปี 1979 ถือเป็น 1 ใน 7 ถิ่นมรดกโลกของประเทศโครเอเชียด้วย
เราเดินเข้าเมืองจากด้านที่ติดทะเล ซึ่งเป็นลานแคบๆ ที่ให้คนยุคปัจจุบันมาเดินเล่นกัน (แถมวันที่ไปเที่ยว เป็นวันสิ้นปีพอดี เลยมีงานออกร้านมากมายด้วย) การเดินเข้าตัวเมืองพระราชวังต้องลอดใต้แนวกำแพงไป ซึ่งแนวกำแพงอันนี้เคยใช้ถ่ายทำภาพยนตร์ซีรีส์ Game of Thrones ด้วย (ฉากถ้ำใต้ดินที่ใช้ขังมังกร) ส่วนพื้นที่จริงๆ ในปัจจุบันเป็นร้านขายของที่ระลึกไปหมดแล้ว
เมื่อลอดมาจากประตูเมือง สิ่งที่เราจะเห็นทันทีคือสิ่งปลูกสร้างที่สูงที่สุดของเมืองนี้ นั่นคือ มหาวิหารเซนต์ดอมเนียส (Cathedral of Saint Domnius) สร้างขึ้นตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 7 และถือเป็นโบสถ์คริสต์ที่เก่าแก่ที่สุดในโลกที่ยังคงโครงสร้างเดิมเอาไว้
เดิมทีโบสถ์แห่งนี้เคยเป็นสุสานของจักรพรรดิดิโอคลีเชียน แต่เมื่อศาสนาคริสต์เฟื่องฟู ก็มาสร้างโบสถ์ครอบไว้อีกชั้น โดยตั้งชื่อตามเซนต์ดอมเนียส หรือ Dujam ซึ่งเป็นบิชอปที่อยู่ร่วมสมัยกับดิโอคลีเชียน
น่าเสียดายว่าเราไปวันสิ้นปี 31 ธันวาคมพอดี เลยเจอแจ๊กพ็อตเข้าไปคือ “โบสถ์ปิด” ไม่สามารถเข้าไปชมข้างในได้ แต่ก็สามารถเดินดูบริเวณรอบนอกได้ จากภาพด้านล่างจะเห็นตัวสฟิงซ์สีดำตั้งอยู่ด้วย สฟิงซ์พวกนี้นำมาจากอียิปต์ เหตุผลก็เพราะจักรพรรดิดิโอคลีเชียนชอบอารยธรรมอียิปต์นั่นเอง เมื่อปราบกบฎอียิปต์ได้เลยขนสฟิงซ์มาตกแต่งพระราชวังด้วยเลย (ขนมา 12 ตัว ปัจจุบันเหลืออยู่ 3 ตัว)
สฟิงซ์ตัวที่เห็นในภาพนั้นตั้งอยู่ตรงนี้มาตั้งแต่สมัยของดิโอคลีเชียน เฝ้าดูยุคสมัยที่เปลี่ยนผ่านไปมาจนถึงปัจจุบัน
สฟิงซ์อีกตัวหนึ่งตั้งอยู่ในตรอกแคบๆ ที่อยู่ตรงข้ามกับโบสถ์ ตัวนี้หัวหายไปนานแล้ว
บริเวณรอบโบสถ์ก็มีเสาหิน บันได สิ่งปลูกสร้างเป็นหินสวยงาม
บันไดสำหรับเดินสู่ห้องใต้ดินในอดีต ฐานรากเดิมคือสุสานที่สร้างเพื่อฝังพระศพของจักรพรรดิดิโอคลีเชียน
ถ้าเดินมาด้านหลังโบสถ์ จะเป็น “มุมลับ” ที่ถ่ายรูปโบสถ์แห่งนี้ได้สวยงามมาก เป็นบริเวณแนวกำแพงของเมืองสปลิทนั่นเอง
ถ้าออกจากเมืองสปลิทในประตูฝั่งตะวันออก จะมีรูปปั้นของบิชอป Gregory of Nin ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญทางศาสนาคริสต์ของพื้นที่ดัลมาเชียใน ค.ศ. 926
Gregory of Nin เป็นผู้ริเริ่มการใช้ภาษาถิ่นโครแอทในการศาสนา ซึ่งขัดแย้งกับคริสตจักรที่โรม ซึ่งต้องการให้ใช้ภาษาละตินเท่านั้น ถือเป็นฮีโร่อีกคนในประวัติศาสตร์ของชาวโครแอทละแวกนี้
และแน่นอนว่ารูปปั้นบรอนซ์แบบนี้ ก็มักโดนนักท่องเที่ยวลูบจนมันเงา กรณีของบิชอปก็คือตรงเท้าด้านซ้ายที่อยู่ใกล้กับบันไดนั่นเอง
เมืองเก่าของสปลิทยังเป็นเมืองที่มีคนอยู่จริงๆ โดยอาศัยอยู่ในบ้านเรือนหรือในกำแพงนั่นเอง ใครที่ชอบเมืองเก่ายุโรป ถ้ามีโอกาสมาเดินเล่นหรือถ่ายรูปที่สปลิท คงจะฟินมากเพราะเมืองยังรักษาบรรยากาศดั้งเดิมเอาไว้อย่างดี
ชาวบ้านชาวเมืองก็ตากผ้ากันปกติแบบนี้เลย พบเห็นได้ทั่วไป
ใช่ว่าในเมืองจะมีแต่อะไรโบราณๆ เพราะห้างร้านสมัยใหม่ก็แทรกตัวอยู่แทบทุกจุด อย่างในภาพคือร้าน Tisak ซึ่งขายหนังสือพิมพ์ และเครื่องดื่มสำหรับคนผ่านไปมา
ช่วงที่เราไปเป็นช่วงสิ้นปี บรรยากาศการเฉลิมฉลองคริสต์มาสยังคงอยู่ เราก็จะได้เห็นมุมเล็กๆ ตกแต่งน่ารักแบบนี้เต็มไปหมด
ระหว่างที่เราเดินเล่นกันอยู่ในเมือง ก็เจอหนุ่มท้องถิ่นยืนกินไวน์กัน แล้วอารมณ์ครื้นอย่างไรก็ไม่ทราบ ร้องเพลงประสานเสียงกันกลางถนน เพราะมาก น่าประทับใจมาก
จัตุรัสกลางเมือง มีการแสดง การละเล่น ฉลองกันเต็มที่ในช่วงคริสต์มาสปลายปี
สาวๆ กลุ่มนี้เต้นกันคึกคักสุดฤทธิ์สุดเดช ได้เห็นสาวโครแอทเมาแล้วเต้นออกลีลากันเต็มที่ หลายคนก็คงไม่รู้จักกันมาก่อน แต่บรรยากาศพาไปจนทุกคนสามารถมาร่วมสนุกกันได้
ถ้าออกมาด้านนอกเมืองฝั่งริมทะเล ก็จะเป็นบรรยากาศเมืองริมทะเลแถบเมดิเตอร์เรเนียน มีท่าเรือ มีพื้นที่ริมน้ำให้เดินเล่น
บรรยากาศสบายๆ ดู “แสงสุดท้าย” ของปี 2015 กัน
พอเริ่มมืด คนโครแอทท้องถิ่น รวมถึงนักท่องเที่ยว ก็ยิ่งเยอะ ออกมาเดินตลาดคริสต์มาสกันเยอะไปหมด อยากเดินเล่น นั่งคุย กินเบียร์ สนทนา ก็แล้วแต่ชอบ บริเวณลานหน้าเมืองยังมีคอนเสิร์ตเคาต์ดาวน์ในช่วงค่ำด้วย
เราพักที่โรงแรม Le Meridien Casino Split ซึ่งอยู่นอกตัวเมืองสปลิทออกมาหน่อย เป็นโรงแรมอย่างหรู ติดทะเล มีคาสิโนด้วยถ้าชอบเล่น
บรรยากาศริมทะเลตอนเช้า สวยงามมาก
มองจากหน้าต่างห้องก็จะเห็นตัวเมืองเก่าสปลิทอยู่ฝั่งตรงข้ามกัน คนละแหลม ตอนกลางคืนยังได้ดูพลุฉลองข้ามปีใหม่จากในเมืองด้วย
ในภาพรวมแล้ว สปลิทถือเป็นเมืองเก่าที่น่าประทับใจอีกแห่งของโครเอเชีย ถึงแม้ตัวพระราชวังอาจต่างจากที่เราจินตนาการไว้หน่อย (คือไม่ได้เป็นพระราชวังหรูๆ สวยๆ แบบยุโรปยุคกลาง แต่เป็นป้อมปราการ) แต่ความเก่าของมันก็บ่มเพาะจนได้ที่ มีเสน่ห์ น่าค้นหาและมาท่องเที่ยว