เอกสารสำหรับการยื่นขอทำวีซ่านั้นจำเป็นต้องใช้ “รูปถ่าย” ที่มีเงื่อนไขค่อนข้างเข้มงวด ทั้งขนาด สีพื้นหลัง ระยะห่างระหว่างใบหน้าถึงขอบรูป ฯลฯ มิหนำซ้ำการที่เราต้องไปถ่ายรูปที่ร้าน (ซึ่งมักบังคับเราถ่ายเป็นโหล) ก็อาจไม่ค่อยคุ้มเท่าไรเมื่อเทียบกับการที่เราต้องใช้รูปเพียง 1-2 ใบเท่านั้น (เก็บไว้ใช้ซ้ำก็ไม่ได้อีก)
ในยุคที่ทุกคนมีกล้องดิจิทัล และมีร้านอัดรูปจากกล้องดิจิทัลอยู่ทั่วเมืองในราคาใบละไม่กี่บาท 2Baht.com ขอเสนอเทคนิคง่ายๆ ในการถ่ายรูปสำหรับขอทำวีซ่าด้วยตัวเอง โดยใช้โปรแกรมบนเว็บช่วยตัดขนาดของรูปให้พอดีกับที่สถานทูตต้องการ ทุกอย่างทำได้เอง
อุปกรณ์ที่ต้องมี:
- กล้องดิจิทัล หรือจะใช้กล้องมือถือก็ได้ แต่ถ้าเป็นกล้องมือถือก็เลือกรุ่นที่คุณภาพดีสักหน่อย
- คอมพิวเตอร์พร้อมโปรแกรมแต่งภาพแบบง่ายๆ
- thumbdrive สำหรับใส่รูปไปอัดที่ร้าน (ถ้าไม่มีจะใช้ SD Card ของกล้องถ่ายรูปแทนก็ได้)
ขั้นตอนที่ 1 ถ่ายรูป
ใช้กล้องดิจิทัลหรือกล้องมือถือ ถ่ายรูปบุคคลที่ต้องการรูปติดบัตร โดยหามุมที่ด้านหลังเป็นกำแพงสีขาว (รูปวีซ่าส่วนใหญ่มักต้องใช้พื้นหลังสีขาว) ควรถ่ายช่วงกลางวันเพื่อให้แสงปริมาณเยอะพอ อาจใช้เทคนิคเปิดไฟห้อง-เปิดหน้าต่างใช้แสงจากภายนอกเข้าช่วย พยายามให้เงาตกอยู่ด้านหลังบุคคลตัวแบบพอดี มิฉะนั้นหน้าจะดำเป็นบางส่วน
ถ่ายรูปเสร็จแล้วก็นำเข้าคอมพิวเตอร์ แต่งภาพเล็กน้อยให้สวยงาม (เท่าที่ทำเป็น ใช้โปรแกรมอะไรก็ได้ที่ถนัด) จากนั้นตัดขอบ (crop) รูปโดยกะให้พอดีกับใบหน้าและลำตัวช่วงบน (ไม่ต้องพอดีเป๊ะมาก เพราะเดี๋ยวเราจะไปตัดอีกรอบในเว็บ)
ขั้นตอนที่ 2 อัพโหลดรูป
เมื่อเราได้ภาพต้นฉบับแล้ว ขั้นต่อไปคือหาโปรแกรมช่วยปรับขนาดรูปให้พอดีกับขนาดกระดาษเวลาไปอัดรูป จริงๆ ในอินเทอร์เน็ตมีอยู่หลายเว็บที่ให้บริการลักษณะนี้ฟรี แต่ที่ลองมาแล้วเวิร์ค และคิดว่าควรมาแนะนำต่อคือ PassportPhoto4You
เมื่อเข้าหน้าเว็บตามลิงก์ ก็จะเจอหน้าจอการใช้งานแบบง่ายๆ 4 ขั้นตอน ดังภาพ
- อย่างแรกเลยให้เราเลือกประเทศที่จะขอวีซ่าก่อน เพราะทางเว็บไซต์จะได้ดึงข้อมูลขนาดของรูปถ่ายที่สถานทูตของประเทศนั้นๆ ต้องการมาให้ถูก
- ต่อมาเลือกประเภทของรูป โดยส่วนใหญ่จะแยกเป็นรูปใช้ทำพาสปอร์ต กับรูปใช้ขอวีซ่า ซึ่งกรณีนี้เราใช้รูปขอทำวีซ่า
- ขั้นที่สามคือเลือกขนาดกระดาษที่จะพิมพ์รูป ปกติแล้วร้านถ่ายรูปเมืองไทยใช้ขนาด 4×6 นิ้ว ก็ไม่ต้องทำอะไรพิเศษ
- ขั้นที่สี่ ให้อัพโหลดไฟล์รูปที่เราเตรียมไว้ โดยมีข้อจำกัดคือห้ามใหญ่เกิน 10MB และต้องเป็นไฟล์ JPG เท่านั้น
เสร็จเรียบร้อยก็กดปุ่ม Upload เพื่อเข้าสู่ขั้นตอนต่อไป
ขั้นตอนที่ 3 วางตำแหน่งรูป
เมื่ออัพโหลดรูปเสร็จเรียบร้อยแล้ว เราจะเห็นหน้าจอสำหรับวางตำแหน่งรูป โดยจะมีกรอบแสดงขอบเขตของใบหน้าและหัว (รวมผม) ให้เราวางเทียบกับภาพของเราเอง พร้อมภาพพรีวิวผลลัพธ์ด้านขวามือ เราก็มีหน้าที่ขยับกรอบหัวให้ตรงกับในรูปที่อัพโหลด เล็งสายตาและจมูกให้อยู่ในแนว หน้าจอนี้ยังสามารถปรับความสว่างและคอนทรานสต์ได้ด้วย ถ้าไม่เข้าใจ ในเว็บก็มีคำอธิบายเพิ่มเติมด้านล่าง
รูปขอวีซ่าส่วนใหญ่มักมีข้อกำหนดว่าส่วนหัวห้ามสูงเกินแถบสีเขียว ดังนั้นควรเล็งให้พอดี
ทำเสร็จหมดทุกอย่างแล้วก็กดปุ่ม Make Photo
ขั้นตอนที่ 4 ดาวน์โหลดรูป
กดปุ่ม Make Photo แล้วจะเข้าสู่หน้าจอดาวน์โหลดรูป ทางเว็บจะนำรูปที่เราวางตำแหน่งไว้มาเรียงกันบนไฟล์สำหรับอัดลงกระดาษขนาด 4×6 นิ้ว
เนื่องจากทางเว็บไม่คิดค่าใช้จ่าย เราก็ต้องแลกด้วยการดูโฆษณาบ้างเล็กน้อย รอตัวเลขนับถอยหลังจนถึง 0 จะมีลิงก์ให้ดาวน์โหลดรูปเพิ่มเข้ามา (ถ้าใจดีก็ช่วยคลิกโฆษณาให้เขาสักหน่อย)
เมื่อเลขนับถึง 0 แล้ว จะมีปุ่ม Download โผล่ขึ้นมา กดดาวน์โหลดรูปแล้วเซฟเก็บไว้ในเครื่องได้เลย
ขั้นตอนที่ 5 นำรูปไปอัดที่ร้าน
ไฟล์ที่ดาวน์โหลดจาก Passport Photo 4 You จะมีขนาด 4×6 นิ้วพอดีเป๊ะ เราไม่ต้องทำอะไรเพิ่ม แค่เซฟไฟล์ใส่ thumbdrive เดินไปที่ร้านอัดรูปที่สะดวก ก็เรียบร้อยแล้ว
ทีมงาน 2Baht.com อัดที่ร้านอัดรูปแถวห้าแยกลาดพร้าว ค่าใช้จ่ายตกใบละ 3 บาทเท่านั้น (เลือกกระดาษมัน Kodak หรือ Fuji ก็ได้) โดยมีเงื่อนไขว่าต้องอัดมากกว่า 3 ใบขึ้นไปถึงจะได้ราคานี้ อย่างไรก็ตาม เท่าที่เคยมีประสบการณ์มา ร้านอัดรูปบางแห่งจะไม่ยอมให้เราอัดรูปถ่ายติดบัตรลักษณะนี้ เพราะจะพยายามบีบให้เราถ่ายรูปกับทางร้านแทน (ถ้าเจอแบบนี้ก็เปลี่ยนร้านเลยจ้า)
เมื่ออัดรูปเสร็จเรียบร้อยแล้ว (บางร้านรอรับได้เลย บางร้านต้องรอข้ามวันเพราะส่งไปอัดที่อื่น) ก็นำมาตัดตามเส้น เท่านี่เราก็ได้รูปติดบัตรเตรียมไปขอวีซ่า ในราคารูปละ 0.375 บาทเท่านั้น
บทความที่น่าสนใจ
- วิธีการยื่นขอวีซ่าเชงเก้น ฝรั่งเศสที่ TLS Contact Center
- ขั้นตอนการขอและสัมภาษณ์วีซ่าสหรัฐอเมริกา สำหรับผู้ที่ขอเป็นครั้งแรก
- วิธีการทำใบขับขี่ระหว่างประเทศ/ใบขับขี่สากล
อ่านบทความการขอวีซ่าต่างๆ เพิ่มเติม หรือ ติดตาม How to การท่องเที่ยวที่ facebook “2baht.com” ได้อีกหนึ่งช่องทางครับ