รีวิว Executive Lunch Set ที่ Lung King Heen ร้านอาหารกวางตุ้งระดับสามดาวมิชลิน

2baht.com เคยมีรีวิวร้าน Lung King Heen ห้องอาหารจีนกวางตุ้งแห่งแรกของโลกที่ได้ 3 ดาวมิชลิน ไปแล้ว แต่ในคราวนี้เราจะพาท่านผู้อ่านกลับไปชิมอาหารที่ร้านนี้อีกครั้ง แต่คราวนี้เป็น Executive Lunch Set (แปลเป็นไทยคือชุดอาหารเที่ยงสำหรับผู้บริหาร)

ข้อมูลของร้านอาหารและบรรยากาศร้าน

หน้าทางเข้าร้าน Lung KIng Heen
หน้าทางเข้าร้าน Lung King Heen

ท่านผู้อ่านอาจจะทราบประวัติของ Lung King Heen ไปแล้วในรีวิวเก่า ร้านนี้ถือเป็นร้านอาหารที่แทบจะเป็นสถาบันอาหารจีนในฮ่องกง และโด่งดังมานานก่อนมีมิชลินไกด์ในฮ่องกงเสียอีก

ในปัจจุบัน Lung King Heen เป็นหนึ่งในห้องอาหารของโรงแรม Four Seasons Hong Kong ครับ (ในโรงแรมมีห้องอาหารอื่นๆ ที่ได้ดาวมิชลินเหมือนกัน เช่น Le Caprice ห้องอาหารฝรั่งเศส) ข้อมูลเบื้องต้นของร้านมีดังนี้

  • เปิดบริการทุกวัน เวลา 12:00 น. – 14:30 น. (ช่วงเที่ยง), 18:00 น. – 22:30 น. (ช่วงค่ำ)
  • หมายเลขโทรศัพท์ 3196 8880
  • สถานีรถไฟฟ้า MTR ใกล้ที่สุด Hong Kong หรือ Central (แล้วแต่สาย) โดยให้เดินไปทาง IFC Mall จากนั้นเมื่อถึงภายใน IFC Mall ให้เดินไปฝั่งตึก IFC One เดินผ่านทางเชื่อมเข้าโรงแรม Four Seasons ครับ
  • สำคัญมาก การมากินที่นี่ต้องสำรองที่นั่งล่วงหน้ากับทางโรงแรม เพราะโอกาสได้ที่นั่งแบบเดินเข้าไปทานเอง (walk-in) ยากมากถึงยากที่สุด

Lung King Heen มีอาหารชุดผู้บริหารเฉพาะมื้อกลางวัน ที่ราคา 520 ดอลลาร์ฮ่องกง ราคานี้ยังไม่รวมเครื่องดื่ม (ถ้าสั่งชาปกติคิดท่านละ 35 ดอลลาร์ฮ่องกง) และไม่รวมค่าบริการอีก 10% (รวมๆ แล้วประมาณ 620 ดอลลาร์ฮ่องกง) ซึ่งถือว่าราคาสูงเอาเรื่อง

เมนูอาหารชุดผู้บริหาร จะเปลี่ยนไปในแต่ละช่วงเวลา ผู้ที่ตามไปทานอาจได้อาหารไม่ตรงกับรีวิวนี้เลยก็ได้ (หากอยู่ในช่วงเปลี่ยนเมนู) ดังนั้นควรสอบถามกับทางร้านว่าในวันที่ตนเองไปนั้น มีเมนูอะไรบ้าง

บรรยากาศภายในร้าน
บรรยากาศภายในร้าน

ห้องอาหาร Lung King Heen (จากนี้จะใช้ตัวย่อว่า LKH) ขึ้นชื่อเรื่องของการรอคิว ไม่ว่าจะเป็นคิวหน้าร้านและคิวสำรองที่นั่ง ควรสำรองที่นั่งล่วงหน้าอย่างน้อยหนึ่งเดือนขึ้นไป เพื่อให้มั่นใจว่ามีที่นั่งแน่นอน

นอกจากนี้ ทางร้านจะสำรองที่นั่งที่เราจองไว้ตามวันและเวลาเพียง 15 นาที เท่านั้น ถ้าไปสายเกิน 15 นาที ที่นั่งหลุดทันที ดังนั้นควรไปตรงต่อเวลาด้วยนะครับ 🙂

เมื่อไปถึงแล้วแจ้งชื่อ เจ้าหน้าที่จะนำเราไปนั่งที่โต๊ะและนำเมนูออกมาให้เราเลือกครับ ต้องชมว่าเจ้าหน้าที่ว่าบริการดีมาก แถมหมั่นสังเกตลูกค้าด้วย (ผู้เขียนถนัดมือซ้าย เจ้าหน้าที่ถามว่าต้องการย้ายอุปกรณ์มาด้านซ้ายหรือไม่ ผมบอกว่าไม่เป็นไร)

อาหารภายในชุด

หลังจากที่เราเลือกสั่งอาหารชุดผู้บริหารไปแล้ว ใช้เวลาสักพักหนึ่งเจ้าหน้าที่จะจัดเตรียมน้ำจิ้มต่างๆ มาให้ ก่อนจะเริ่มจานแรกด้วยติ่มซำแบบนึ่งที่มาพร้อมกันสองอย่าง คือ ฝั่นโก๋ไส้ทะเล กับ ฮะเก๋า

ฝั่นโก๋ไส้ทะเลและฮะเก๋า
ฝั่นโก๋ไส้ทะเลและฮะเก๋า

เริ่มจากตัวฝั่นโก๋ก่อน ต้องบอกว่าแป้งบางถึงบางมากแต่ยังคงความเหนียวสู้ฟัน และอัดไส้ทะเลมาเต็มที่ เมื่อกัดเข้าไปมีทั้งผัก เห็ด และเครื่องทะเลอย่างเช่น กุ้ง หน่อไม้ฝรั่ง แห้ว เห็นหอม อย่างไรก็ตาม กลิ่นของคื่นช่ายก้านเล็กที่ใส่มาภายในและถูกจิ้มไว้ด้านนอก ทำให้ความเป็นทะเลของติ่มซำลูกนี้หายไปเยอะมาก เวลาทานอาจสัมผัสความเป็นทะเลได้ไม่มากเท่าที่ควรจะเป็น ซึ่งก็น่าเสียดายอยู่บ้าง

ฮะเก๋าที่แป้งบางสะใจ
ฮะเก๋าที่แป้งบางสะใจ

ต่อมาเป็น ฮะเก๋า ทำออกมาได้พอดิบพอดีมากๆ ทั้งเค็มและเด้ง รวมถึงรักษาความสดของอาหารทะเลได้เต็มที่ ตัวแป้งก็บางเฉียบ ถือเป็นหนึ่งในอาหารแนะนำของร้านเลย สิ่งที่ขอตั้งข้อสังเกตเอาไว้คือคราวนี้ฮะเก๋าไม่ได้ใส่เห็ดหอมเอาไว้ (แบบที่มาชิมครั้งที่แล้ว) แต่ก็ไม่ได้ลดทอนสาระสำคัญไปครับ

ซาลาเปาอบไส้หมูแดง
ซาลาเปาอบไส้หมูแดง

จานต่อไปอาจเป็นของโปรดใครหลายคน ซึ่งก็คือ ซาลาเปาไส้หมูแดงอบ ซึ่งของร้านนี่ใช้สูตรต่างจากร้าน Tim Ho Wan ค่อนข้างมาก คือไม่ติดหวาน เนื้อแป้งร่วนไม่แข็ง (ออกแนวขนม pastry เสียมากกว่า) รวมถึงลักษณะภายนอกก็แตกต่างออกไป

ด้านในของซาลาเปาไส้หมูแดงอบ
ด้านในของซาลาเปาไส้หมูแดงอบ

เรื่องรสชาติของซาลาเปา ต้องบอกว่าของร้าน Lung King Heen ให้รสชาติที่พอเหมาะระหว่างความหวานและความเค็ม ลงตัวอย่างมาก ความหวานค่อนข้างกลม ไม่แหลม อีกทั้งไม่มีกลิ่นของเนยมาการีนที่รุนแรงจนเกินไป จานนี้สอบผ่านอย่างไม่ต้องสงสัยครับ

ซุปปลากับถั่งลิสง
ซุปปลากับถั่งลิสง

จานต่อมาเป็น ซุปปลากับถั่วลิสง ทำออกมาได้ดีมาก มีการใช้เนื้อเป็ดร่วมด้วยทำให้ไม่มีกลิ่นคาวปลามาก ส่วนเรื่องรสชาติมีความเค็มแบบเกลือทะเลแฝงอยู่ จานนี้ถือว่าทานได้เรื่อยๆ และให้รสชาติที่กลมกล่อมครับ (ในห้องอาหารแอร์ค่อนข้างเย็น ได้จานนี้ช่วยให้อบอุ่นได้มากอยู่)

ซุปปลากับถั่วลิสง
ซุปปลากับถั่วลิสง

ต่อไปเป็น รวมชุดของย่าง ซึ่งประกอบไปด้วย หมูแดง, เป็ดย่างซีอิ้ว และ แมงกระพรุนย่าง ครับ ทั้งสามอย่างนี้ถูกจัดเข้ามาเป็นชุดแล้วเสิร์ฟในถาดเล็กๆ น่าทานไปอีกแบบ

ชุดอาหารย่าง
ชุดอาหารย่าง (ซ้ายไปขวา: หมูแดง, เป็ดย่างซีอิ้ว, แมงกระพรุนย่าง)

เริ่มต้นที่ หมูแดง ก่อน หมูแดงที่ให้มาถือว่าดีมากและนุ่มนวลมาก มีความลงตัวทั้งความมันและความนุ่มนวลของเนื้อ ส่วนรสชาติไม่ต่างจากในซาลาเปาอบแต่อย่างไร ที่น่าทึ่งคือการเคลือบน้ำผึ้งของตัวหมูแดง ทำให้หมูแดงนี้ปรุงออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ เทียบแล้วหมูแดงบ้านเรายังห่างไกลอยู่มากโขเลยทีเดียว (ยกเว้นบางเจ้าอย่าง กุ๊ก ฝ้า หยู่น ที่อาจพอสูสี)

หมูแดงย่าง
หมูแดงย่าง

เป็ดย่างซีอิ้ว เป็นอาหารอีกอย่างที่สร้างความโดดเด่นได้เป็นอย่างดี รสชาติของตัวเป็ดออกมาชัดเจนแล้วชูขึ้นด้วยซีอิ้วที่ใช้ประกอบ จะมีติดนิดเดียวตรงที่รสชาติค่อนข้างเค็ม และเป็นลักษณะที่เค็มโดดออกมาชัดมาก (ตอนทานนึกถึงข้าวสวยร้อนๆ สักจาน) เวลาทานอาจต้องคำนึงถึงจุดนี้ด้วย

เป็ดย่างซีอิ้ว
เป็ดย่างซีอิ้ว

ของชิ้นสุดท้ายก็คือ แมงกระพรุนย่าง โดยส่วนตัวแล้วถือว่าเฉยๆ ในเชิงรสชาติ แต่ในเชิงของการเล่นกับสัมผัสแล้วถือว่าดีมาก ตัวแมงกระพรุ่นทั้งเด้งทั้งกรุบกรอบ อีกทั้งยังสอดแฝงกลิ่นไหม้นิดๆ มาด้วย ส่วนรสชาติออกทั้งหวานทั้งเค็ม (เหมือนเอาสองอย่างแรกมาสรุปในตอนท้าย) มาคู่กันแบบลงตัว

แมงกระพรุนย่าง
แมงกระพรุนย่าง

จานต่อไปเป็น เนื้อผัดผัก เป็นเนื้อผัดกับซอสมาพร้อมกับสารพัดผักและเห็ด จานนี้ติดโทนไปค่อนข้างเค็ม เนื้อที่ให้มาถือว่านุ่มนวลมาก แฝงความเผ็ดเครื่องเทศมานิดๆ จานนี้ถือว่าเยี่ยมยอดมากๆ ครับ

เนื้อผัดผัก
เนื้อผัดผัก

จานต่อไปเรียกว่าน่าผิดหวังมากที่สุดในมื้อนี้ คือ บะหมี่เกี้ยวกุ้ง ถึงแม้ว่าจะทำออกมาได้ดีพอควร แต่เมื่อเทียบกับบะหมี่ร้านดังอย่าง Mak’s Noodle หรือ Ho Hung Kee ยังถือว่าห่างชั้นอยู่มาก

ปัญหาอยู่ที่ตัวเส้นที่ลวกมาสุกจริง แต่สุกในระดับที่เสียความเป็น al dente ไป (เคี้ยวไม่มัน) น้ำซุปถือว่าอ่อนรสชาติ ติดไปทางจืด สิ่งเดียวที่ทำให้โดดเด่นคือตัวเกี๊ยวที่ใช้วัตถุดิบเดียวกับฮะเก๋า ถ้าเป็นไปได้ก็ขอแนะนำให้ข้ามจานนี้ไปครับ (ในเซ็ตมีข้าวผัดให้เลือกด้วย แต่คราวนี้เลือกบะหมี่แทน)

บะหมี่เกี๊ยวกุ้ง
บะหมี่เกี๊ยวกุ้ง
เส้นบะหมี่
เส้นบะหมี่

ปิดท้ายกันที่ของหวานสองชนิด จานแรกเป็น ซุปไพน์นัท (หรือซุปถั่วต้นสน) ส่วนอีกจานเป็น shortbread และ วุ้นดอกหอมหมื่นลี้และเม็ดเก๋ากี๊

ซุปไพน์นัท
ซุปไพน์นัท

ซุปไพน์นัท (เรียกภาษาบ้านๆ คือซุปเมล็ดต้นสน) เป็นซุปที่ค่อนข้างข้น ได้สัมผัสของไพน์นัทอย่างเต็มที่ หวานกำลังพอดีไม่แหลมจนเกินไปนัก ตัวซุปยังใส่เมล็ดวุ้นสีดำ (สีเหมือนถั่วดำ) ให้มาเคี้ยวเล่นเพลินๆ ด้วย ถือว่าให้มิติด้านสัมผัสที่ครบเครื่อง ไม่ใช่มีแต่ซุปอย่างเดียว

shortbread และวุ้นดอกหอมหมื่นลี้และเม็ดเก๋ากี๊
shortbread และวุ้นดอกหอมหมื่นลี้และเม็ดเก๋ากี๊

ปิดท้ายกันที่จานเล็ก ซึ่งมี shortbread ที่ทำจากมันหมูและวอลนัท ทำมาได้กรอบ เคี้ยวอร่อย รสหวานกำลังพอดีไม่รุนแรงมาก ส่วน วุ้นดอกหอมหมื่นลี้และเม็ดเก๋ากี๊ ทำออกมาได้ดีอย่างน่าทึ่ง ถ้าให้เทียบกับจานเดียวกันของ Tim Ho Wan อยู่ในระดับที่พอๆ กันครับผม ยกเว้นว่าที่ Tim Ho Wan จะติดหวานกว่าเล็กน้อยครับ

สรุปรีวิว

ถือว่าอาหารชุดผู้บริหารตอนมื้อเที่ยงของที่นี่ทำออกมาได้ดีมาก มีคุณภาพ และการบริการก็ดีมากเกินความคาดหมาย สิ่งที่สำคัญมากกว่านั้นคือยังคงรักษาคุณภาพของอาหารเอาไว้ได้อย่างดี ฝีมือไม่ตกจากที่เคยไปกินคราวก่อน

ข้อด้อยคือการเสิร์ฟอาหาร เพราะคราวนี้ LKH ออกอาหารได้ช้าถึงช้ามาก (ผิดกับครั้งที่แล้ว) การชิมครั้งนี้ใช้ระยะเวลาทานนานถึง 1.30 ชั่วโมง (ไปตั้งแต่ 12:00 น. ออกมาจากห้องอาหาร 13:30 น.) ต้องทำใจกันสักนิดว่าต้องทานกันนานหน่อยนะครับ

เรื่องที่ต้องควรคำนึงคือการสำรองที่นั่งล่วงหน้า โดยเฉพาะในหน้าเทศกาลที่จองกันเต็มข้ามปีไปแล้วในบางช่วง รวมไปถึงราคาที่สูงมาก ถ้านานๆ ทานทีอาจจะพอไหวครับผม